Friday, February 23, 2007

โรงเรียนประจำ เพื่อนคนแรก เซนต์เซย่าและดราก้อนบอล - Broading School, First Friend, Saint Seiya and Dragon Ball (TAG)

ได้รับ Tag ให้พูดถึงเรื่องราวในชีวิต 5 เรื่องจากเพื่อนที่ผมก็รู้ว่าใคร เหอๆๆๆ
จะค่อยๆเขียนนะครับ อยากจะลำดับเรื่องราวตั้งแต่เด็กขึ้นมานะครับ

เริ่มเลยนะครับ


เรื่องที่ 1 โรงเรียนประจำ เพื่อนคนแรก เซนต์เซย่าและดราก้อนบอล
เมื่อสมัยยังเล็กเป็นเด็กน้อยผมได้ย้ายโรงเรียนสองครั้งเนื่องจากคุณพ่อของผมต้องย้ายบ่อยตามประสาอาชีพรับราชการ
สาเหตุที่ผมต้องจำเป็นไปเรียนประจำนั้น อย่างแรกเลยคือเนื่องจากการเดินทางบ่อยๆของพ่อผมในเวลานั้น
ประเด็นถัดมาคือ เนื่องจากคุณแม่ของผม ประทับใจคนๆนึงมากซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเขาเป็นใคร รู้แต่ว่า ผู้ชายคนนี้เนี้ยบมาก ทุกกระเบียดนิ้ว แม่ผมเล่าว่า ขนาดกางเกงในพี่แกยังรีดเลย (น่ากลัวมากๆ)แต่ตอนนี้แม่ผมคงเสียใจน่าดูเพราะลูกชายคนนี้ ซกหมกและไม่มีระเบียบเอาซะเลย ให้ตายเหอะ แต่อยากไรก็ตามการไปอยู่โรงเรียนประจำของผมไม่เคยน่าเบื่อเลยและไม่ทำให้ผมเคยรู้สึกขาดเลย(ถึงแม้ว่าอาจจะมีแอบ เหงาและ เศร้าบ้าง)

เข้าเรื่องเลยดีกว่า
ผมยังจำวันแรกที่ไปโรงเรียนประจำทั้งสองที่ได้เลย
ภาพแรกของที่แรกมันรางเลือนมากๆ จำได้แค่ว่า แม่ผมเตรียมเสื่อผ้าไปหลายชุดมากเลยแต่ไม่สามารถให้ผมใช้ได้เนื่องจาก ที่นี่เค้ามีชุดสำหรับนักเรียนประจำ จำได้ว่ามันเหมือนชุดนักเรียนมาก ต่างกันแค่สีเสื้อ (นี่ยังดีนะครับ อีกที่นึงต่อมา ชุดเหมือนเด็กตามสถานสงเคราะห์มาก เหอๆๆ)อ้อ อย่าพึ่งไปคิดนะครับว่าผมไปอยู่โรงเรียนหรูๆ ไม่ใช่นะครับ โรงเรียนธรรมดานี่แหละ
โรงเรียนแรกนี้เป็นโรงเรียนคริสต์ครับ ความทรงจำเรื่องเพื่อนที่นี่มันแทบไม่มีเลย อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นผมเด็กมากๆ
ความทรงจำในที่แห่งนี้ อบอวลไปด้วยความสนุกแบบเด็กๆและจินตนาการ จำได้ว่าผมมีกลุ่มเพื่อนที่สนุกมากๆ มีพี่คนนึงชอบการแสดงมากๆ ชอบกำกับละคร ผมได้ไปเล่นละครของแกบ่อยๆ แกจะชอบเล่นเป็นผุ้กำกับ มีเพื่อนๆร่วมเล่นมากมาย เรื่องนึงที่จำได้คือ ไซอิ่ว จำได้ว่าไปแสดงหลังเวทีโรงเรียน สนุกมากเลย มีคนอื่นมาดูก็ขำๆกัน จะว่าไปหน้าเวทีผมก็ได้แสดงบ่อยๆ ตอนเด็กๆมักไม่คิดอะไร ใครให้แสดงอะไรก็ทำตามที่บอก พอโตขึ้นมาผมกลับเป็นคนขี้อายมากเลย พอจะให้แสดงอะไรแบบนี้ผมจะหนีลูกเดียวเลย
อีกอย่างที่จำได้คือเพื่อนคนนึงครับ ตัวเล็กๆ ชอบเดินตามผมต้อยๆ เขาจะขำๆนิดนึง พูดจาหน่อๆหน่อย แต่ผมกลับชอบจะอยุ่กับเขาเพราะดูไม่มีพิษมีภัยดี

อ้อ ตอนที่ผมเรียนที่นี่ผมชอบเวลาที่ต้องไปโบสถ์มากเลยครับไม่รู้ทำไม แล้วอีกคนที่ผมจำได้ดีคือ ซิสเตอร์ท่านนึงครับ ท่านเคยบอกว่าแม่ผมครั้งหนึ่งว่า เด็กอย่างผมเนี่ย เลี้ยงยาก เลี้ยงให้ดีก็ดีไปเลย เลี้ยงไม่ดีระวังจะเสียคน โห ผมชอบนะ ซิสเตอร์พูดแบบนี้ ดูเราไม่เหมือนใครดี ฮ่าๆๆๆ ตอนนั้นผมดื้อนะ แต่เป็นดื้อแบบเงียบๆ เก็บความคิดที่สงสัยไว้ในใจตลอด มีอยู่วันนึงขณะที่เราสวดมนตร์อยู่ในโบสถ์ แล้วผมง่วงมากจำได้ว่า ซิสเตอร์หยิกผม เจ็บมากเลย ท่าจะเจ็บจริงๆ เพราะว่าผมจำได้ถึงเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่ผมไม่เคยลืมเลยถึงแม้ว่าผมจะจำหน้าแกไม่ได้แล้ว ซิสเตอร์คนนี้ก็คอยดูแลผมอย่างดีทุกเรื่อง คอยบอกผมเสมอว่าผมต้องทำตัวอย่างไร ผมรักซิสเตอร์มากเลย ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะอยู่ที่ไหนผมเชื่อว่า ท่านจะได้รับการคุ้มครองและมีความสุขในที่งดงามแน่ๆเลยครับ

ต่อมาโรงเรียนที่สองนะครับ ที่นี่แตกต่างจากโรงเรียนแรกอย่างสิ้นเชิง เป็นโรงเรียนมีชื่อประจำจังหวัดนั้นเลยนะครับ แต่คุณภาพชีวิตผิดกันมา ฮ่าๆๆๆๆ แต่เชื่อเถอะ มีเรื่องราวที่ดีมากมายเกิดขึ้นที่นี่ to be continued...

(ป.ล.ยังไปไม่ถึงไหนเลย เหอๆๆ พอจะเขียนแล้วภาพความทรงจำมันออกมาไม่หยุดหย่อนเลยต้องพักเพื่อลำดับเรื่องราวขอสักครู่นะครับ)

Thursday, February 15, 2007

วันที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสี - When the sky changes its colours


ขณะนี้เวลาตีสี่กว่าๆ
ดึกมากๆ แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงนอนไม่หลับ
พรุ่งนี้ต้องไปทำงาน
เวลานี้เป็นเวลาที่ผมต้องนอนขดตัวอย่างสบายอยู่ในผ้าห่ม
มันเหมือนกับว่ามีเรื่องที่ต้องคิดมากมายอยู่ในหัวของผม
แต่น่าแปลกที่ผมกลับพบว่า มันว่างเปล่า
ตอนนี้เหมือนมีเรื่องให้คิดมากมาย
แต่กลับไม่มีอะไรเลย

เมื่อกี้นี้เอง ผมลองออนเอ็มดู ไม่รู้เหมือนกันจะออนทำไมเวลานี้
เวลาที่ไม่มีใครแน่นอน ผมคิดเช่นนั้น
แต่เปล่าเลย
ผมเจอใครคนนึง เพื่อนคนไกลของผม
เพื่อนคนที่ผมเคยคิดถึงที่สุด
เพื่อนคนที่ผมเคยแอบยิ้มเวลามองเค้า
เพื่อนคนที่ผมเคยคิดถึง ทุกครั้งที่ผมสุขใจ หรือ เศร้าใจ
เพื่อนคนที่ผมแอบมองเค้ามาตั้งหก เจ็ดปี
เพื่อนคนไกลของผม
คิดถึง คิดถึงมาก คิดถึงที่สุด
ผมเคยบอกตัวเองแบบนั้น

ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา
อยู่ๆก็เหมือนกับว่า
เราเลิกคิดถึงกัน
ไม่ว่าด้วยเหตุผลของระยะทาง
หรืออะไรก็ตาม แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว
ผมค่อยๆรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างเงียบๆ
แรกๆ ใจของผมเหมือนยังไม่ค่อยยอมรับยอมรับเท่าไหร่
แต่เมื่อยิ่งเพ่งคิด พิจารณาเรื่องราวต่าง
แล้วผมก็พบว่า
ไม่เฉพาะตัวเค้าเองที่เปลี่ยน
ใจผมเองก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ทีละน้อย ทีละน้อย
ทั้งๆที่ยังไม่มีใครมาเติมเต็ม
แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเศร้าใจ
กับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เลย
แต่มันกลับเป็นความรู้สึกยอมรับซะมากกว่า
ยอมรับความจริงที่ว่า
ไม่มีเค้าอยู่ข้างๆใจผมอีกต่อไปแล้ว
หรือว่า แท้ที่จริงแล้ว
มันไม่มีตั้งแต่แรกกัน
ความรู้สึกที่ผมเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอมา
แท้ที่จริงมันคืออะไรกันแน่

ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้
แต่ตอนนี้ เวลานี้
มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจก็คือ
เรื่องราวระหว่างเรา มันเปลี่ยนไปแล้ว
แต่ชีวิตของผมยังคงต้อง ดำเนินต่อไป
ผมศรัทธาในวันใหม่เสมอครับ
ขอให้ผมและเขาโชคดี


เขียนเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เวลาตีสี่กว่า

Wednesday, February 7, 2007

เด็กชายกับห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ - Being and Endless Time



เรื่องมันเริ่มขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง
ขณะไปเดินเล่นกับเพื่อนคนหนึ่ง
เห็นโปสเตอร์แผ่นหนึ่งเขียนว่า
"ฉลองครบรอบสิบปี การ์ตูนเรื่องโคนัน"
อาจจะเหมือนธรรมดา
แต่ผมตกใจมากนะ
เฮ้ยย โคนันนี่สิบปีแล้วหรอ
ทำไมกรู ไม่รู้สึกเลยว่ะ
บอกตรงๆ นึกมาตลอดว่า
4-5 ปีเท่านั้น
เพื่อนผมหัวเราะ
แล้วก็บอกว่า
เออดิ มันตั้งแต่เราอยู่ ม.ปลายแล้วนะ
ผมก้อคิดแปบนึง
เออ จริงด้วยอ่ะ
ทำไมกรูไม่เคยรู้สึกเลยเนี่ย
ผมบอกเพื่อนไป
แต่ในใจผมกลับคิดคำนึง

ตั้งแต่อายุ 26 มามันเหมือนกับว่า
เฮ้ยยย นี่กรูโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่หว่า
ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกหรือ สำเนียกได้เลย
เฮ้ยยย นี่กรูจะ 30 แล้วหรอ
เหลืออีกแค่ไม่กี่ปีเอง
จะว่าไป จะมองว่าเหลืออีกตั้งหลายปีก็คงได้
หากแต่ ช่วงนี้ผมกลับรู้สึก
และพบว่าเวลามันไหลไปไม่หยุดเลย
มันเหมือนกับพริบตาเดียว
เรามาไกลขนาดนี้เลยหรือ
สิ่งที่ผมเรียนรู้ในขณะนี้ก็คือ
เราทั้งหลายก็เพียงเศษเสี้ยวเดียวของกาลเวลาที่เป็นอนันต์



เมื่อก่อนสมัยที่เป็นเด็กกว่านี้
ผมไม่เคยรู้เลยว่า
เวลามันช่างมีค่ามากขนาดนี้
ผมปล่อยให้เวลาไหลไป ไหลไป ไหลไป แล้วก็ไหลไป
อย่างไม่หยุด
ตอนที่เป็นเด็กผมมักจะมีโอกาสเสมอ
โอกาสเรียนรู้ โอกาสสร้างสรรค์
โอกาสผิดพลาด
โอกาสเริ่มต้นใหม่
ผมมีเวลาเสมอ
"เมื่อไหร่ก็ได้น่า มีเวลาเหลือเฟือ"
นี่คือคำพูดติดปากของผม



และเวลาในขณะนั้น
ผมไม่เคยเข้าใจเลย
เวลาที่ผมดูหนังหรือการ์ตูน
ผมมักจะพบว่า
ความฝันอันสูงสุดของบรรดาตัวร้ายทั้งหลาย
คือ การมีชีวิตนิรันดร์
จะเป็น อมตะ ไปทำไม
ผมไม่เคยเข้าใจเลย
ในเมื่อคนรอบตัวเราก็ต้องตายไปหมด
เวลานั้น เราจะเหลือใคร
ผมมองว่า การเป็นอมตะ นี่เป็นความเศร้าที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
เพราะว่า คุณจะต้องนั่งมองคนในครอบครัวของคุณ
คนที่คุณรัก ค่อยๆหายไปจากชีวิต ทีละคน ทีละคน
และอย่างน้อยที่สุด คุณจะพบกับใครสักคน
จะมีช่วงเวลาที่มีความสุข หรือความทุกข์ก็ตาม
แต่สุดท้ายก็จะกลับมาโดดเดี่ยวอีก
มันน่าเศร้านะ
แน่นอนว่า ตอนนี้ผมก็ยังคิดเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
หากแต่ผมมองตัวร้ายที่ต้องการชีวิตอมตะ
ด้วยสายตาที่เข้าใจมากขึ้น

และขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้
อยู่ๆก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจแบบฉับพลัน
ว่า
"นี่เป็นอาการของการกลัวความแก่ รึเปล่า"
"ไม่ใช่นะ" ผมตอบตัวเอง

ผมเพียงแค่รู้สึกว่า
ผมมีสิ่งที่อยากทำมากมายเต็มไปหมด
แต่บางอย่าง
มันผ่านและสายเกินไปเสียแล้ว
เฮ่อ นี่เอง
ที่เวลาตอนเด็กๆ เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่า
มัวแต่ปล่อยให้เวลาผ่านไป
จะมานั่งเสียใจทีหลัง
ตอนนั้นที่ฟัง
ก็ไม่ได้เคยคิดตามเลย
พอถึงตอนนี้
ผมกลับต้องพูดคำนี้ ประโยคนี้
กับคนอื่นแทนซะมั้ง หึหึหึ
นี่แหละชีวิต

หากแต่นอกจากที่จะมีคนพูดว่า
เวลาและวารี ไม่เคยรอใคร
เราเองก็ยังเคยได้ยินคำพูดที่ว่า
ไม่เคยมีอะไรสายสำหรับ การเริ่มต้น เช่นกัน
แม้ว่ายังมีบางอย่างที่ผมไม่สามารถเรียกคืน หรือทำได้แล้ว
แน่นอน ยังมีสิ่งที่รอให้ผมทำอยู่มากมาย
ผมบอกตัวเองอย่างนั้น

Monday, February 5, 2007

บทเพลงของแกะน้อย - My song

สืบเนื่องจากนายอะคิตะ สหายจากบอร์ดหนังส่งต่อมาให้ หลังจากผลัดมาวันแล้วในที่สุดก็ได้เวลาซะที

กติกาคือให้เปิดเพลงจากโปรแกรมใดก็ได้
แล้วนำบทเพลงมาสอดเข้าชีวิตของตัวเอง

เริ่มเลยล่ะกัน

James Blunt - You're Beautiful



เพลงนี้ทำให้นึกถึงใครบางคนขึ้นมาจากบทสรุปของเพลง
It's time to face the truth,
I will never be with you.

IL DIVO - All By Myself



All by myself
Don't wanna be
All by myself
Anymore
ช่างเหมือนชีวิตตัวเองช่วงที่ผ่านมา วิ่งวุ่นไปทั่ว
แต่ตอนนี้ พักใจแล้วครับ

ป๊อด โมเดิร์นด๊อก (Modern Dog)เพลงประกอบโฆษณา "One 2 Call" - ระวังหมดอายุ



Free your mind Free your soul
ความฝันไม่เคยรอใคร อย่าปล่อยให้เวลาของเราหมดไป

ตอนที่ฟังเพลงนี้ครั้งแรก โดนเลย
ปล่อยชีวิตมานานมากแล้ว คงถึงเวลาทำอะไรจริงจังซะที
ต่อไปนี้จะเลิกโลเลและรอเวลาแล้ว
ไม่งั้นคงหมดอายุเข้าสักวัน

Same Same Feat.อาภาพร - Farang Ja



เพลงนี้ช่างขำได้ใจด้วยเสียงของเจ้ อาภาพร
เนื้อหาเพลงช่างไม่มีไรสอดคล้องกัน ออกแนว Threesome นิดๆ
แต่น่ารักดี
อุ้บบบ... อยากกินฝรั่ง ฮ่าๆๆ

BLACK EYED PEAS - DON'T LIE



Nononono baby, nononono don't lie
ฮืมมม ยังจับไม่ได้ ก็แล้วไปนะน้อง
แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง
คงต้องพูดกันยาว

Michael Buble - Home



Maybe surrounded by
A million people I
Still feel all alone
I just wanna go home
Oh I miss you, you know

ถึงแม้จะแวดล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย
บางเวลาก็ยังเหงาอยู่ดี
เมื่อไรจะมีใครสักคนสักที รอนานแล้วนะ

โก้ เศกพล อุ่นสำราญ Mr.Saxman - ภาวนา



"เพราะว่าห่างเหลือเกิน เพราะฉันอยู่แสนไกล บอกตรงๆหัวใจฉันยังหวั่น"
ฟังทุกวันจนใจมันชินซะแล้ว
ขอให้โชคดีนะ

EMINEM - LOSE YOURSELF



Look, if you had one shot, or one opportunity
To seize everything you ever wanted-One moment
Would you capture it or just let it slip?
Yo

การตัดสินใจของผมใกล้เข้ามาแล้ว
ถึงจะไม่ยิ่งใหญ่แต่จะลองดู

บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว - อยากขอสักคน (I Need Somebody)



"คนที่โทรผิดมาเมื่อวานตอนเช้า
คนที่นั่งกินข้าวติดกันเมื่อคืน
คนที่ยิ้มให้กันตรงหน้าปากซอย
ใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า

แล้วทำไมตัวเราถึงยังไม่เห็นมีใคร
แล้วต้องทนเดียวดายในใจเอาไว้ทำไม
ไม่ได้ใช้งาน ไม่ได้รักใคร ไม่มีกำลังใจที่ไหนเลย

อยากมีคนอยู่ข้างกาย สบตากัน ให้หัวใจมันเต้นแรง
เก็บไว้คิดถึงกัน เก็บไว้คิดถึงกัน"

เพลงบอกทุกอย่างไปแล้วอ่ะคับ
อยากมีบางคนสักที เฮ่อออ

SARAH BRIGHTMAN - MEMORY



Touch me, It's so easy to leave me
All alone with my memory
Of my days in the sun
If you touch me
You'll understand what happiness is
Look a new day has begun...

เพลงนี้อารมณ์แก่ๆนิดนึง
แต่มันเพราะอ่ะ ชอบๆๆ
ต่อไปนี้คงต้องลบความทรงจำที่ไม่ดีทั้งหมดไป
แล้วคงต้องเริ่มวันใหม่ได้แล้วซะที

ทำไมเขียนไปเขียนไปเขียนมา อารมณ์มันเหมือนเดิม เศร้าๆ เหงาๆ ชอบกล
แล้วจะมาเขียนต่อ ภาคสอง แล้วกันนะ

อ้อ ยังไม่รู้เลยว่าจะส่งต่อให้ใครดี
เอาเป็นว่าใครได้เข้ามาอ่าน
แล้วอยากเขียนบ้าง ก็เชิญเลยนะครับ
แล้วอย่าลืมมาบอกกันบ้าง
จะตามไปอ่าน