

เรื่องมันเริ่มขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง
ขณะไปเดินเล่นกับเพื่อนคนหนึ่ง
เห็นโปสเตอร์แผ่นหนึ่งเขียนว่า
"ฉลองครบรอบสิบปี การ์ตูนเรื่องโคนัน"
อาจจะเหมือนธรรมดา
แต่ผมตกใจมากนะ
เฮ้ยย โคนันนี่สิบปีแล้วหรอ
ทำไมกรู ไม่รู้สึกเลยว่ะ
บอกตรงๆ นึกมาตลอดว่า
4-5 ปีเท่านั้น
เพื่อนผมหัวเราะ
แล้วก็บอกว่า
เออดิ มันตั้งแต่เราอยู่ ม.ปลายแล้วนะ
ผมก้อคิดแปบนึง
เออ จริงด้วยอ่ะ
ทำไมกรูไม่เคยรู้สึกเลยเนี่ย
ผมบอกเพื่อนไป
แต่ในใจผมกลับคิดคำนึง
ตั้งแต่อายุ 26 มามันเหมือนกับว่า
เฮ้ยยย นี่กรูโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่หว่า
ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกหรือ สำเนียกได้เลย
เฮ้ยยย นี่กรูจะ 30 แล้วหรอ
เหลืออีกแค่ไม่กี่ปีเอง
จะว่าไป จะมองว่าเหลืออีกตั้งหลายปีก็คงได้
หากแต่ ช่วงนี้ผมกลับรู้สึก
และพบว่าเวลามันไหลไปไม่หยุดเลย
มันเหมือนกับพริบตาเดียว
เรามาไกลขนาดนี้เลยหรือ
สิ่งที่ผมเรียนรู้ในขณะนี้ก็คือ
เราทั้งหลายก็เพียงเศษเสี้ยวเดียวของกาลเวลาที่เป็นอนันต์

เมื่อก่อนสมัยที่เป็นเด็กกว่านี้
ผมไม่เคยรู้เลยว่า
เวลามันช่างมีค่ามากขนาดนี้
ผมปล่อยให้เวลาไหลไป ไหลไป ไหลไป แล้วก็ไหลไป
อย่างไม่หยุด
ตอนที่เป็นเด็กผมมักจะมีโอกาสเสมอ
โอกาสเรียนรู้ โอกาสสร้างสรรค์
โอกาสผิดพลาด
โอกาสเริ่มต้นใหม่
ผมมีเวลาเสมอ
"เมื่อไหร่ก็ได้น่า มีเวลาเหลือเฟือ"
นี่คือคำพูดติดปากของผม

และเวลาในขณะนั้น
ผมไม่เคยเข้าใจเลย
เวลาที่ผมดูหนังหรือการ์ตูน
ผมมักจะพบว่า
ความฝันอันสูงสุดของบรรดาตัวร้ายทั้งหลาย
คือ การมีชีวิตนิรันดร์
จะเป็น อมตะ ไปทำไม
ผมไม่เคยเข้าใจเลย
ในเมื่อคนรอบตัวเราก็ต้องตายไปหมด
เวลานั้น เราจะเหลือใคร
ผมมองว่า การเป็นอมตะ นี่เป็นความเศร้าที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
เพราะว่า คุณจะต้องนั่งมองคนในครอบครัวของคุณ
คนที่คุณรัก ค่อยๆหายไปจากชีวิต ทีละคน ทีละคน
และอย่างน้อยที่สุด คุณจะพบกับใครสักคน
จะมีช่วงเวลาที่มีความสุข หรือความทุกข์ก็ตาม
แต่สุดท้ายก็จะกลับมาโดดเดี่ยวอีก
มันน่าเศร้านะ
แน่นอนว่า ตอนนี้ผมก็ยังคิดเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
หากแต่ผมมองตัวร้ายที่ต้องการชีวิตอมตะ
ด้วยสายตาที่เข้าใจมากขึ้น
และขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้
อยู่ๆก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจแบบฉับพลัน
ว่า
"นี่เป็นอาการของการกลัวความแก่ รึเปล่า"
"ไม่ใช่นะ" ผมตอบตัวเอง
ผมเพียงแค่รู้สึกว่า
ผมมีสิ่งที่อยากทำมากมายเต็มไปหมด
แต่บางอย่าง
มันผ่านและสายเกินไปเสียแล้ว
เฮ่อ นี่เอง
ที่เวลาตอนเด็กๆ เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่า
มัวแต่ปล่อยให้เวลาผ่านไป
จะมานั่งเสียใจทีหลัง
ตอนนั้นที่ฟัง
ก็ไม่ได้เคยคิดตามเลย
พอถึงตอนนี้
ผมกลับต้องพูดคำนี้ ประโยคนี้
กับคนอื่นแทนซะมั้ง หึหึหึ
นี่แหละชีวิต
หากแต่นอกจากที่จะมีคนพูดว่า
เวลาและวารี ไม่เคยรอใคร
เราเองก็ยังเคยได้ยินคำพูดที่ว่า
ไม่เคยมีอะไรสายสำหรับ การเริ่มต้น เช่นกัน
แม้ว่ายังมีบางอย่างที่ผมไม่สามารถเรียกคืน หรือทำได้แล้ว
แน่นอน ยังมีสิ่งที่รอให้ผมทำอยู่มากมาย
ผมบอกตัวเองอย่างนั้น


3 comments:
เราเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของจักรวาล---> อันนี้จริง ผมก็คิดไปหลายๆอย่างว่า งั้นเราจะทำดีไปทำไม หรือพยายามไปเพื่อใคร เพราะเราก็เทียบความสำคัญไม่ได้ถ้าเทียบกับจักรวาล แต่ถ้าเรานึกตัวเราที่มีความสำคัญต่อคนอื่น เช่น พือแม่พี่น้องเพื่อน ...อันนี้อาจเป็นสิ่งที่ยึดรั้งให้เราทำดี หรือก้าว เทยอทยาน แต่...ถ้าหากตัดสิ่งรั้งเหล่านี้ไปล่ะครับ?
ตอบซะยาว ฮ่าๆๆๆๆ
"ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงเดชแห่งจักรวาลอันไพศาล"
Stephen Batchelor
จากหนังสือเรื่อง Living with the devil
ลองหาหนังสือสือธรรมมะของท่าน ว.วชิระเมธี มาอ่านดูซิครับ รับรองสามารถมองโลกได้กว้างขึ้นครับ
Post a Comment