Sunday, October 26, 2008

โสด...





"หากเรามีบ้านอยู่บนดวงจันทร์สักหลัง

เมื่อเปิดหน้าต่าง แล้วมองออกไปบนท้องฟ้า

คงจะเห็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินซึ่งใครก็ไม่รู้บอกว่า

คล้ายผลส้ม ลอยสง่าอยู่อย่างสงบนิ่งและสวยงาม


แต่ในความเป็นจริงบนพื้นแผ่นผิวโลก บางครั้งความรู้สึกกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ขณะเดียวกัน ณ ริมขอบหน้าต่างที่บ้านของเราบนโลก

ในคืนดาวดับ เราเห็นกระต่ายสถิตอยู่กลางเดือนเด่นสีเงินยวงนวลตา

และใครก็ไม่รู้บอกเราว่า

มีตากับยายตำข้าวอยู่บนนั้น


แต่ในความเป็นจริงบนพื้นแผ่นผิวดวงจันทร์ กลับไม่เป็นเช่นที่เห็น

ทุกคนมี “โลก” เป็นของตัวเอง และทุกคนมีชีวิตอยู่บน “โลก”

ความเข้าใจและความรักที่แท้กระมังหนอ ที่จะทำให้ “โลก” สงบสุข"


จาก คำนำหนังสือผลส้มสีน้ำเงิน


======

ช่วงนี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเอง "โสด"
แล้วก่อนหน้านั้น ไม่โสดหรอ ก็โสดมาตลอด
ไม่เห็นจะมีใครจริงๆสักทีในชีวิต

ที่ผ่านมา
ถึงผมจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
แต่ผมก็มีใครบางคนมาทำให้ผมแอบคิดถึงอยู่เหมือนกัน
แถมระหว่างนั้นก็พอมีคนผ่านเข้ามาพูดคุย แบ่งปันความรู้สึกให้ชีวิตไม่เหงา (หรือยิ่งทำให้เหงา ก็ไม่รู้ได้)

แต่วันนี้
อยู่ๆ คนๆนั้นและคนบางคน ก็หายไปจากชีวิตของผมทั้งหมด
หายไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
ราวกับนัดหมาย ..

เมื่อก่อน..
ผมเป็นโรคกลัวความรัก
ไม่รู้ว่าเพราะเคยอกหักอย่างรุนแรงรึป่าว
ผมเลยกลัวความสัมพันธ์อย่างมาก
ประจวบกับต่อมา ดันมาแอบหลงรักเพื่อนสนิทอย่างรุนแรง แต่ไม่กล้าบอกอีก
ความรักของผมจึงไม่เคยไปถึงไหนสักที

วันนี้..
เมื่อเพื่อนคนนั้นของผมเค้าเปลี่ยนไป ระหว่างเราไม่น่าที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
แล้วใครๆที่เคยอยู่รอบตัวผมก็หายไปอีก..

แทนที่ผมจะเหงา หรือ เศร้าใจ
ผมกลับพบว่า
วันที่ผมไม่มีใคร ..
ผมกลับรู้สึก
โล่งที่ไม่ต้องเอาตัวเองไปยึดติดกับใคร..
โล่งที่ไม่ต้องเอาตัวเองไปคิดถึงใคร..
แล้วมองความรักแบบเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

เมื่อผมผ่านวันที่อ่อนแอที่สุดมา
ผมพบว่า ผมเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

วันนี้..
ผมพอจะมองเห็นแล้วว่า ตัวเองต้องการความรักแบบไหน
คนไหนแบบไหนที่ผมอยากจะอยู่เคียงคู่กับเค้า
หัวเราะและร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเค้า
ใครสักคนที่เราจะมีกันและกัน
ถึงแม้ว่าจะไม่ตลอดไป

แต่อย่างน้อย แค่ยิ้มทุกครั้งที่คิดถึง ก็ยังดี...

Wednesday, October 22, 2008

ตื่น..




“ ... เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง
มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า
ซบหน้าติดดินกินทราย

จะเจ็บจำไปถึงปรโลก
ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย
อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ ...”


เสียเจ้า...อังคาร กัลยาณพงศ

ทุกครั้งที่คิดถึงจะหยิบเอาเพลงๆหนึ่งที่น้องเคยส่งให้มาฟังเสมอ
เคยแอบน้ำตาซึมด้วย เป็นไปได้ขนาดนั้น
แต่วันนี้ได้เจออะไรบางอย่าง รู้สึกว่าใช่ น่าจะใช่นะ
อยากจะให้คิดไปเอง
แต่ว่า ...
นั่งทวบทวนกับตัวเองไปมา
นี่กรูวิ่งตามอะไรอยู่
.
.
.
เหนื่อยไหม
.
.
อย่างที่คนอื่นบอก ทำไมไม่รู้จักจำ
วันนี้ผมคิดได้แล้วนะ

"Ohana" means "family."
"Family" means "no one gets left behind."
But if you want to leave, you can.
I'll remember you though.

Friday, October 10, 2008

เพียงความเคลื่อนไหว...



"นกอยู่ฟ้านกหากไม่เห็นฟ้า
ปลาอยู่น้ำย่อมปลาเห็นน้ำไม่
ไส้เดือนไม่เห็นดินว่าฉันใด
หนอนย่อมไร้ดวงตารู้อาจม

ฉันนั้นความเปื่อยเน่าเป็นของแน่
ย่อมเกิดแก่ความนิ่งทุกสิ่งสม
แต่วันหนึ่งความเน่าในเปือกตม
ก็ผุดพรายให้ชมซึ่งดอกบัว

และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว
มันอาจขุ่นอาจข้นอาจหม่นมัว
แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน

พอเสียงรั่วรัวกลองประกาศกล้า
ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย ฯ"


เพียงความเคลื่อนไหว... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

===

กองทัพต้องหยุดสงครามกลางเมือง!

โดย สิริอัญญา
9 ตุลาคม 2551 19:06 น.

“ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่

ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”

ข้อความข้างบนนี้คือคำรำพึงรำพันของเทพแห่งกาลเวลา ผู้เป็นอมตะในทุกกาล คือไม่มีการเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งใหญ่ระดับที่ไม่มีใครในสามโลกจะต้านทานได้เลย

เป็นข้อความที่ปรากฏในโศลกแรกแห่งมหาภารตะยุทธ์ ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองชนิดหนึ่ง และผลาญชีวิตผู้คนนับล้านๆ ในระยะเวลาอันยาวนาน อันเป็นผลเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติธรรมของมนุษย์

วันนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงระบอบทุนสามานย์ และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อีกต่อไปแล้ว เพราะได้ตายไปแล้ว กลายเป็นรัฐบาลผีดิบ พรรคการเมืองผีดิบและผู้แทนราษฎรผีดิบที่กระหายเลือด รอวันที่จะลงหลุมและถูกกลบฝังไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น

ที่ต้องพูดถึงก็คือสถานการณ์ในบ้านเมืองวันนี้มีสภาพไม่ต่างอันใดกับสถานการณ์บางห้วงเวลาในประเทศเลบานอน ซึ่งเป็นสงครามกลางเมือง แต่ละวันมีแต่กลิ่นคาวเลือด เสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงร่ำไห้ระงม

ขณะนี้มันอยู่ในระยะเพิ่งเริ่มต้น เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นยังคงเกิดขึ้นในเวลากลางคืน แต่หากไม่หยุดยั้งไว้ มันก็จะเกิดขึ้นทั้งวันทั้งคืนและจะขยายตัวลุกลามไปทั่วประเทศ

สถานการณ์ในวันนี้ ประชาชนผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ร่วม 20 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้คนในแทบทุกวงการไม่ยอมรับการปกครองของรัฐบาลทรราชอีกต่อไปแล้ว การต่อต้าน การต่อสู้กำลังแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง และถูกยกระดับแหลมคมขึ้นทุกที

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่มีผู้ปกครองหรือรัฐบาลใดจะยืนอยู่ได้ หากว่าประชาชนไม่ยอมรับการปกครองแล้ว อย่าว่าแต่จะมีปริมาณร่วม 20 ล้านคน เอากันแค่ไม่กี่แสนคนหรือล้านคน ก็ต้องพังพินาศย่อยยับไปแล้ว
การดันทุรังอยู่ในอำนาจท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความพินาศของบ้านเมืองนั้น เห็นได้ชัดในตัวว่ามิใช่อยู่เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม แต่เป็นการอยู่เพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้องเท่านั้น ซึ่งไม่มีวันที่จะสงบสุขได้เลย

ไม่เห็นหรือว่าวันนี้ก็มีข่าวแล้วว่านายกรัฐมนตรีต้องส่งครอบครัวออกไปอยู่ยังต่างประเทศ เพราะเกรงว่าไม่มีความปลอดภัย เนื่องจากกลัวว่าจะมีการปฏิวัติ

เป็นความไม่ปลอดภัยที่กำลังคุกคามพรรคร่วมรัฐบาล และผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนครอบครัวที่ไม่เป็นปกติสุขได้อีกต่อไปแล้ว ทุกคนกำลังถูกตราหน้าว่าเป็นทรราช เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด

ที่กลัวการปฏิวัติและเกรงไม่ปลอดภัยจากทหารนั้นเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่กว่าก็คือมวลมหาประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทุกหนทุกแห่งที่เปี่ยมด้วยความคับแค้นในจิตใจนั่นต่างหากที่น่ากลัวกว่า เพราะไม่มีใครที่จะหลุดรอดพ้นไปจากหูตาและน้ำมือของประชาชนได้เลย

อำนาจรัฐตำรวจก่ออาชญากรรมสังหารโหดและทำร้ายประชาชนจนล้มตายและบาดเจ็บเกือบ 500 คน ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าตำรวจได้ใช้อาวุธสงครามนานาชนิดเข้าล้างผลาญประชาชนที่บริสุทธิ์และมีแต่สองมือเปล่า

แต่ยังไม่หนำแก่ใจยังบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีว่าผู้ตายก็ดี คนเจ็บก็ดี เป็นผู้สร้างสถานการณ์ เป็นผู้ก่อความไม่สงบ เป็นผู้ทำร้ายตำรวจ กระทั่งขว้างระเบิดใส่ตัวเอง

การกระทำเช่นนั้นสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจและคับแค้นใจอย่างสุดแสนที่จะพรรณนา ทั้งแก่ครอบครัวของผู้ตาย ทั้งแก่ผู้บาดเจ็บและญาติมิตร ตลอดจนประชาชนที่รักความเป็นธรรมทั้งปวง เป็นพฤติกรรมไม่ต่างกับการฆ่าคนจนตายแล้วข่มขืนศพซ้ำอีก

ความเจ็บช้ำน้ำใจและความคับแค้นใจเช่นนี้แหละได้ทำลายความเชื่อในความอหิงสาและสันติจนหมดสิ้น ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยสงบสุขกลับลุกเป็นไฟ ก็ภายใต้เงื้อมมือของรัฐตำรวจในห้วงเวลาของการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด

มีการใช้อำนาจเถื่อนอุ้มฆ่าประชาชนไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นอิหม่าม กอเต็บ บิลัน หรือประชาชนทั่วไป เพียงแค่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ใช้ระบบศาลเตี้ยตัดสินประหารผลาญชีวิตผู้คนอย่างเหี้ยมโหดอำมหิต

ได้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่ประชาชนในพื้นที่นั้นจนสุดแสนจะทนทาน และยังไม่หนำแก่ใจ ยังมีการใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนหาว่าพี่น้องคนไทยมุสลิมเหล่านั้นเป็นผู้ค้ายาเสพติด เป็นอาชญากร เป็นคนชั่วช้าเลวทราม

จากความโกรธแค้นก็เพิ่มเป็นความเคียดแค้นคับแค้นชิงชัง ทำลายวัตรปฏิบัติที่ทรงศีลและยึดมั่นอยู่ในหลักสันติธรรมแห่งอิสลามจนหมดสิ้น

พี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้และเข่นฆ่าตำรวจเหล่านั้น จนต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาซุกหัวในกระดองที่กรุงเทพฯ

ในที่สุดกองทัพไทยก็ต้องเข้าไปแบกรับภาระอันหนักที่ถูกอำนาจรัฐตำรวจอำมหิตสร้างกรรมทำเข็ญไว้ ต้องเผชิญกับความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินนับไม่ถ้วนต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จนวันนี้ก็ยังไม่ยุติ

คณะตำรวจที่ก่อเหตุคราวนั้น วันนี้เติบใหญ่ในอำนาจและได้ใช้วิธีการเดียวกันในการปราบปรามและสังหารโหดประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลามหาวิปโยค และใช้วิธีการถนัด “ฆ่าและข่มขืนศพ” เช่นเดียวกับที่เคยกระทำมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

เพราะเหตุนั้น ความศรัทธาในสันติและอหิงสาที่ประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยึดมั่นตลอดมาจึงถูกทำลายลง

พี่น้องประชาชนจากภาคใต้ทุกจังหวัดได้ขึ้นมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก บาดเจ็บและพิการเป็นจำนวนมาก แล้วยังถูกกล่าวหาว่าพกพาระเบิดหรือทำร้ายตัวเองเสียอีก

เสียงซึ่งก้องกระหึ่มในวันนี้แต่รัฐบาลทรราชไม่ได้ยินก็คือ “กูไม่ยอมให้มึงฆ่าพวกกูข้างเดียวอีกแล้ว”

มันไม่ใช่เสียงจากพี่น้องชาวภาคใต้เท่านั้น แต่เป็นเสียงของพี่น้องประชาชนที่มาจากทุกแห่งหนทั่วประเทศด้วย

นี่คือสมุฏฐานและปฐมเหตุของสงครามกลางเมืองที่มีตัวอย่างให้เห็นเด่นชัดแล้วในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมันกำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา หากหยุดยั้งเอาไว้ไม่ได้

แล้วใครเล่าที่มีหน้าที่โดยตรงในการหยุดยั้งสงครามกลางเมือง ที่แน่นอนย่อมไม่ใช่อำนาจรัฐตำรวจ เนื่องจากได้กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาเช่นเดียวกับที่ได้เป็นต้นเหตุมาแล้วในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็คือกองทัพไทย ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามรัฐธรรมนูญในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแห่งชาติ ในการปกป้องพิทักษ์รักษาประชาชน และพิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์

จะอ้างความเป็นกลางหรือทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้อีกแล้ว และต้องตระหนักให้ดีว่าในวันนี้ความเสื่อมได้คืบคลานเข้ามายังกองทัพไทยอย่างหนักหน่วงแล้ว

กองทัพไทยวางเฉยให้ตำรวจก่อกรรมสังหารและทำร้ายประชาชนใจกลางพระนคร และใกล้เขตพระราชฐาน เป็นการละเลยต่อหน้าที่ปกป้องประชาชน ทั้งๆ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเมตตาพระราชทานเงินและหน่วยแพทย์พยาบาลมาช่วยเหลือประชาชนให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว

การอ้างความเป็นกลางแบบนี้ก็คือการวางเฉยให้ตำรวจที่ป่าเถื่อนเข่นฆ่าสังหารประชาชนไม่ใช่หรือ?

ความมั่นคงภายในกรุงเทพมหานครที่เสื่อมสิ้นลงและกำลังมีสภาพเป็นสงครามกลางเมือง เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรอให้ใครมาขอให้ช่วย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือวางเฉยเป็นกลาง

เพราะคิดและทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ ทหารเขมรกระจอกๆ จึงข่มเหงรุกรานรุกล้ำและย่ำยีประเทศไทยไม่เว้นในแต่ละวัน กระทั่งออกข่าวว่านายทหารไทยไปยอมจำนนกราบกรานขอขมาลาโทษให้อับอายขายหน้าไปทั่วโลก

การที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองย่อมกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนประชาชน

เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพและเหล่าทหารที่ต้องจัดการแก้ไข และไม่อาจอ้างความเป็นกลางหรือวางเฉยได้อีกแล้ว

กองทัพจะต้องหยุดยั้งภัยแห่งสงครามกลางเมืองให้ทันท่วงที โดยกำจัดต้นเหตุแห่งความคับแค้นจิตใจของประชาชนเสียโดยเร็ว

ไม่ใช่เรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ แต่เป็นหน้าที่กองทัพที่จะต้องขจัดอาชญากรมือเปื้อนเลือดไม่ให้ใช้อำนาจเถื่อนล้างผลาญประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันสำคัญของชาติ

หากผู้ที่รับผิดชอบยังวางเฉยให้ตำรวจและอันธพาลของรัฐบาลฆ่าประชาชน ปล่อยให้เกิดสงครามกลางเมืองต่อไปโดยไม่สำนึกในคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้ถวายไว้ต่อหน้าพระพักตร์ก็ดี หรือต่อหน้าธงชัยเฉลิมพลก็ดี ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบในระดับรองๆ ลดหลั่นลงไป ที่ต้องเข้ามากอบกู้สถานการณ์ในบ้านเมือง

เพราะสงครามกลางเมืองนั้นหากเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจยับยั้งหรือทำให้ยุติได้ในเร็ววัน แค่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงวันนี้ก็ยังแก้ไม่ตก หากเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศเล่า ประเทศไทยของเราจะยืนอยู่ได้อย่างไร?

เราจะมีกองทัพไว้เพื่อประโยชน์อันใดอีก?

==

"ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า
ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน
ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป

เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน."

ท้องฟ้าสีทอง โดย ... วิสา คัญทัพ