Wednesday, February 11, 2009

๋๊Juno (2007) : The Age of Naivety




‘In my opinion, the best thing you can do is find a person who loves you for exactly what you are. Good mood, bad mood, ugly, pretty, handsome, what have you; the right person will still think the sun shines out your ass. That's the kind of person that's worth sticking with.’

เรื่องราวของ จูโน เด็กสาวที่มีนิสัยแปลกแยกที่ดันบังเอิญตั้งครรภ์จากเซ็กส์ครั้งแรกของเธอและเธอก็กล้าหาญเหลือเกินที่จะเก็บเด็กคนนั้นไว้ แต่ด้วยความที่อายุเพียงแค่สิบหกปี เธอคงไม่สามารถที่จะดูแลลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมาของเธอได้ เธอจึงตัดสินในหาพ่อแม่อุปถัมภ์ให้ลูกของเธอ ..

และนั่นคือเรื่องราวของหนังเรื่องนี้



------------------------



ความรักมีวันหมดอายุรึเปล่า?

จูโน ถามพ่อของเธอในวันที่เธอกำลังหมดศรัทธากับมนุษยชาติ

พ่อของเธอตอบกลับมาว่า

สิ่งสำคัญที่เธอสมควรทำคือให้หาคนที่รักเธอแบบที่เธอเป็นเธอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่อารมณ์ดี อารมณ์ร้าย ตอนที่ขี้เหร่ น่ารัก สวยงาม เขาจะรักทุกอย่างที่เป็นตัวเธอ และไม่ว่าจะอย่างไรคนที่ใช่คนนั้นยังคงคิดว่าเธองดงามอยู่เสมอ คนแบบนี้แหละที่มีค่าพอให้เราอยู่ด้วย .. (อาจจะดูเฝือไปบ้าง แต่ได้ฟังคำพูดแบบนี้ทีไร มันจี้ดๆซะจริงเชียว และสำหรับผมถึงมันจะเฝือแต่เชื่อเหอะ จะมีสักกี่คนที่เข้าใจมันจริงๆ )

เธอบอกพ่อเธอว่า เธอได้เจอแล้ว ..

แล้วเธอก็ไปบอกรักผู้ชายคนนั้น ..

หนังจบลงในฤดูร้อนที่แสนอบอุ่น เด็กหนุ่มและสาวน้อยนั่งร้องเพลงคู่กัน ภาพความสุขของทั้งสองทำให้ผมนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับมันตั้งนาน



หากแต่ .. สามี ภรรยา อีกคู่หนึ่งในหนัง ที่เป็น สาเหตุให้สาวน้อย จูโน เกือบจะสิ้นหวังในมนุษยชาติ ได้ตัดสินใจจบชีวิตคู่และหย่าขาดจากกัน

ชายหนุ่มมีความเป็นเด็กซ่อนอยู่และโหยหาอดีตที่ไม่เคยถูกเติมเต็มกับหญิงสาวที่ความฝันอยากเป็นแม่คน

วันหนึ่งชีวิตคู่มาถึงทางตัน และทั้งสองเลือกที่แยกทางกัน

เชื่อเหลือเกินว่า ในวันที่ทั้งคู่รักกัน ภาพความรักคงไม่ต่างจาก จูโนและคนรักของเธอมากนัก

ในวันที่มีความรัก ... ทุกอย่างมันดูสวยงามไปหมด

แล้ว ..

ความรักมีวันหมดอายุรึป่าว?

Thursday, December 25, 2008

When Pygmalion Meets Cinderella in Beverly Hills




I want a fairly tale
'ฉันต้องการ (มากเท่า) เทพนิยาย"

นี่คือคำตอบของ วิเวียน ที่ให้กับ เอ็ดเวิร์ด
เมื่อเขาถามเธอว่า 'เธอต้องการมากแค่ไหน'
หลังจากที่เขายื่นข้อเสนอ
เป็นคอนโดและเงินสดรายเดือนให้เธอ
เธอปฏิเสธมัน และ เลือกที่จะเดินจากไป

และนี่คือ วลี ที่โดนใจที่สุด ในหนังเรื่อง Pretty Woman
ที่มีเจ้าชาย เป็น นักธุรกิจหน้าเลือด
และเจ้าหญิงที่มีอาชีพ ขายบริการ

Edward Lewis: I never treated you like a prostitute.
Vivian: You just did.

เขา : ผมไม่เคยปฏิบัติกับคุณเหมือนคุณเป็นอีตัวนะ
เธอ : คุณพึ่งทำมันออกไป

แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือ หนังรัก โรแมนติก คอมเมดี้ ที่ Made in Hollywood
มีหรือที่จะไม่สมหวัง

'Welcome to Hollywood! What's your dream? Everybody comes here; this is Hollywood, land of dreams. Some dreams come true, some don't; but keep on dreamin' - this is Hollywood. Always time to dream, so keep on dreamin'.

ที่นี่คือ ฮอลลิวู้ด ฝันของคุณคืออะไร
ทุกคนมาที่นี่ นี่คือ ฮอลลี่วู้ด ดินแดนแห่งความฝัน
บางฝันกลายเป็นความจริง บางฝันไม่อาจเป็นจริงได้
แต่ อย่าหยุดที่จะฝัน เพราะที่ฮอลลี่วู้ด มีเวลาให้ฝันเสมอ
ดันนั้น จงฝันต่อไป ..


-----------

นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของผม ที่ชอบเสพหนังจาก Hollywood กระมั้ง
เพราะเรื่องบางอย่าง มันยากเหลือเกินที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริง ..

Tuesday, December 23, 2008

อ่อนแอ



..

I don't wanna talk
About the things we've gone through
Though it's hurting me
Now it's history
I've played all my cards
And that's what you've done too
Nothing more to say
No more ace to play

The winner takes it all
The loser standing small
Beside the victory
That's my destiny

I don't wanna talk
If it makes you feel sad
And I understand
You've come to shake my hand
I apologize
If it makes you feel bad
Seeing me so tense
No self-confidence
But you see
The winner takes it all
The winner takes it all......

Thursday, November 27, 2008

Twilight : Every Girl's DREAM


ดูหนังจบแล้ว รู้สึกว่าไม่อิ่มเอาซะเลย สิ่งแรกที่อยากทำ หลังจากหนังจบคือ ไปหาหนังสือมาอ่าน รู้สึกว่าในหนังสือน่าจะมีอะไรให้เล่นอีกเยอะ แต่เหมือนผู้กำกับและอื่นๆ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีเท่าที่ควร ( Twilight กำกับโดย แคทธาลีน ฮาร์ดวิค (Thirteen, Lords of Dogtown) จากบทภาพยยตร์ของ เมลิซซ่า โรเซนเบิร์ค (Step Up, "Dexter") อำนวยการสร้างโดย กอร์ดอน ก๊อดฟรีย์ (I, Robot; The Nativity Story), เกร็ก มูราเดี้ยน (Drumline, The Stepfather), และ มาร์ค มอร์แกน (Agent Cody Banks, The Wedding Planner ) ไม่ได้คาดหวังแต่แรกหลังจากได้ดูตัวอย่างหนังแล้วว่าจะต้องเป็นหนังดี ระดับชั้นห้าดาวหรือหนังชิงรางวัลแต่อย่างไร เพราะตัวอย่างหนังดูธรรมดามาก และหนังก็กำกับได้ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆด้วย แล้วอะไรที่ทำให้ผมอยากดูหนักหนา อย่างแรกต้องบอกเลยว่า สิ่งที่ผมอยากรู้มากเลย ผมอยากรู้ว่าทำไมหนังสือเรื่องนี้ถึงประสบความสำเร็จมากมาย (สามารถครองอันดับหนึ่งรวมกัน ใน New York Times ได้ถึง 91 สัปดาห์ โดยหนังสือขายได้ถึง 17 ล้านเล่ม และถูกซื้อลิขสิทธ์นำไปแปลเป็นภาษาอื่นอีกกว่า 37 ประเทศทั่วโลก โดยยังมีเว็ปไซค์ที่อุทิศให้กับหนังสืออีกกว่า 350 แห่ง ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในหนังสือยอดเยี่ยมของ New York Times และยังอยู่ในสิบอันดับแรกของหนังสือยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษของ Amazon อีกด้วย – เห็นไหมครับว่าไม่ธรรมดา)


ต้องบอกว่าเวลาที่พูดถึงแวมไพร์หรือผีดูดเลือดเนี่ย ชื่อแรกที่มักจะผุดเข้ามาในหัวผมโดยอัตโนมัติ คือ เจ้าป้า Anne Rice เป็นที่รู้กันดีว่า เจ้าป้าไรซ์ ได้บรรจงเสกสรรเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์หรือผีดูดเลือดไว้มากมาย และที่โด่งดังและน่าจะเป็นที่รู้จักที่สุด คือ Interview with the vampire ต้นตำรับผีดูดเลือด สร้างตัวละครในตำนานกลิ่นอายวายๆอย่าง เลทเตอร์และหลุยส์ (ซึ่งได้สองซุปเปอร์สตาร์ ทอม ครูซ และ แบรด พิตต์ มาสวมบทบาท ณ เวลานั้น) แล้วคำถามที่ผุดขึ้นมาคือ แล้วนิยายเรื่องนี้แตกต่างจากแวมไพร์เรื่องอื่นอย่างไร หลังจากที่นั่งดูไปเรื่อยๆ ผมก็พบคำตอบ นี่มันเป็นแฟนตาซีของของเด็กสาวชัดๆ แวมไพร์หนุ่มรูปงาม เอ็ดเวิร์ด (รับบทโดยโรเบิร์ต แพททินสัน เมื่ออายุ 19 ปี เขาก็ได้รับเลือกให้เล่นเป็น เซดริค ดิคกอรี่ ในภาพยนตร์มหากาพย์พ่อมดเรื่อง Harry Potter & Goblet of Fire แต่การรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Twilight เขาสามารถเอาชนะนักแสดงที่เข้ามาทดสอบบทถึง 5,000 คน) ส่วนสาวน้อยเบลล่านางเอกของเรื่องคือ คริสเทน สจ๊วต (แทบจะจำเธอไม่ได้สำหรับสาวน้อยที่เคยรับบทเป็นลูกสาวของ โจดี้ ฟอสเตอร์ ใน Panic Room ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องเยี่ยมของ เดวิด ฟินเชอร์ - David Fincher) จะว่าไปเบลล่าในเรื่อง ถึงจะดูแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีลักษณะอะไรที่พิเศษมากมายไปกว่าเด็กอื่นนะ แต่นี่เองที่อาจจะเป็นกุญแจที่ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ เด็กหญิงธรรมดาพบรักกับแวมไพร์หนุ่มรูปงามที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้เธอ มันเหมือนกับเทพนิยายยุคใหม่ที่เปลี่ยนจากเจ้าชายมาเป็นแวมไพร์ พล้อตเรื่องสากลที่ไม่เคยตายไปจากโลกใบนี้

ยังไม่อยากเขียนไรมากมาย เอาไว้ถ้ามีโอกาสได้อ่านหนังสือ อาจจะมาเขียนถึงใหม่รอบสอง....

Sunday, November 23, 2008

Bravo : Nodame Cantabile!



จาก ซีรีย์ Nodame Cantabile! : ทำให้ดีที่สุดจนถึงตัวโน้ตตัวสุดท้าย จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง



Megumi Noda: เธอเล่นดนตรีเพื่ออะไร ในเมื่อไม่อยากจะแสดง?

คำแก้ตัว : เค้าอยากเป็นคุณครูอนุบาล เค้าจะเล่นดนตรีแค่สนุกไม่ได้หรอ ทำไมคนอื่นต้องมาวุ่นวายกับเค้าด้วยอ่ะ?


ความเป็นจริง : มีพรสวรรค์เป็นเลิศตั้งแต่เด็ก แต่กลับมีความทรงจำที่เลวร้ายกับครูสอนเปียโนคนแรก จึงปิดตัวเองอยู่เป็นเวลานาน

และ

Shinichi Chiaki : ทุกคนรู้ดีว่าที่ของเธออยู่ที่ไหน แล้วเธอมาทำอยู่ตรงนี้


คำแก้ตัว : ผมหาสิ่งที่ผมสนใจในญี่ปุ่นได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ


ความเป็นจริง : เป็นโรคกลัวเครื่องบินจึงไม่สามารถจะเดินทางออกนอกประเทศได้ (อุปมาดั่งคนตาขาวที่ไม่สามารถรวมกำลังให้โบยบินออกไปในโลกกว้างได้)


Remark : ดนตรีเดินทางโดยผ่านสายตาและหูของคนอื่น ดนตรีที่เล่นคนเดียวจะมีประโยชน์อะไรเล่า

------------------------------------------------



เดินๆอยู่ดีๆ แล้วสะดุดล้มลง ....

เดินๆอยู่ดีๆ เคยเจอกำแพงมาขวางอยู่ข้างหน้าบ้างไหม ...

และทางที่เราคิดไว้ว่ามันจะต้องสวยงาม อยู่ๆก็เต็มไปด้วยหนามและพุ่มไม้ ให้เดินทางลำบากมากขึ้น

ถ้าเจอแบบนี้จะทำอย่างไร

บางคนเลือกที่จะหนีแล้วเดินกลับไปเริ่มใหม่ แต่คำถามคือ จะต้องเริ่มใหม่สักกี่ครั้ง คนเรามีเวลามากมายเมื่อตอนเป็นเด็ก หากแต่เมื่อโตขึ้นมาแล้ว กลับพบว่า เวลานั้นไหลเร็วราวนาฬิกาทรายที่พร้อมจะร่วงหล่นอย่างไม่ปราณีปราศรัย

บางคนที่จะเปลี่ยนเส้นทาง ถ้าเปลี่ยนไปเจอทางที่ถูกสายก็ดีไปแต่โชคจะมีกับคนทุกคนรึป่าว เป็นอีกเรื่องที่ต้องคิดตามกันต่อไป

บางคนเลือกที่จะฝ่าดงไป อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ถ้าเค้าผ่านไปได้ คงเก็บเป็นความภูมิใจส่วนตัวแล้วอาจจะเผื่อแผ่มาถึงคนรอบข้างได้ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง ถ้าเส้นทางที่เขาเลือกจะบุกไปนั้นมันไม่ใช่เส้นทางของเขาล่ะ นั่นหมายถึง การเสียเวลาใช่รึเปล่า

แต่อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาคือ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหน ขอให้ตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจแล้วบอกตัวเองว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ ... คำว่า ถ้า จะมีประโยชน์เมื่อเราใช้พูดถึงอนาคต อย่างน้องก็ปัจจุบัน แล้วตั้งใจทำให้ได้ แต่คำว่า ถ้า จะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เมื่อเราพูดถึง อดีต หรือ สิ่งที่ผ่านมาแล้ว

ต่อไปนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

ก่อนที่จะพูดคำว่า ถ้า ครั้งต่อไป ขอให้แน่ใจว่า ได้ทำมันดีที่สุดแล้ว

ให้แน่ใจว่า จะไม่มานั่งเสียใจเพราะมันอีก



====

Me : ตกลงแล้ว คุณ (เมิง, แก, กอล์ฟ - whatever) อยากทำอะไร อยากเป็นอะไรกันแน่

คำแก้ตัว : จริงๆแล้วทำอะไรก็ได้นะ ก็เท่าที่ผ่านมาก็ทำได้หมด ไม่มีปัญหานี่ ไม่เรื่องมากหรอก

ความเป็นจริง : ..... (ใกล้แล้วล่ะ)

Monday, November 17, 2008

ขอจงมีความเชื่อมั่นในชีวิต


ขอจงมีความเชื่อมั่นในชีวิต


เป็นธรรมดาที่วิถีชีวิตมีขึ้นมีลง
สภาพการณ์ไม่เป็นไปดังที่เราปรารถนาเสมอไป
เพราะเงื่อนไขที่กำหนดมีมากมายซับซ้อน


--------------------------------------------------------------------------------


ขอจงมีความเชื่อมั่นในชีวิต
ว่าเป็นสิ่งมีคุณค่า ความประเสริฐ และดีงาม
และจงมีความมั่นใจ
ในความสามารถและศักยภาพของตนเอง
ที่จะสร้างสรรค์ บรรลุ สุขสมบูรณ์ได้


เป็นธรรมดาที่วิถีชีวิตมีขึ้นมีลง
สภาพการณ์ไม่เป็นไปดังที่เราปรารถนาเสมอไป
เพราะเงื่อนไขที่กำหนดมีมากมายซับซ้อน

เมื่อเราเข้าไปเกี่ยวข้องและเผชิญนั้น
ควรระดมทั้งพลังแรงกายใจ
ทำหน้าที่ส่วนของเราให้สมบูรณ์ดีที่สุด
โดยไม่ต้องหวั่นวิตกกังวล
ว่าผลจะเป็นอย่างไร


ในหุบเหวสับสนอนธการของชีวิต
อย่าสิ้นหวังทอดอาลัย
หรือหลบหลีกปัญหาเฉพาะหน้า
โดยมอมเมาความรับรู้ของตนเอง
ด้วยวิธีการต่างๆ

แต่จงจุดประกายความหวังขึ้นในใจ
ด้วยความเชื่อมั่นในชีวิต
และความมั่นใจในความสามารถของตนเอง
ที่จะระดมพลังกายใจและสติปัญญา
ต่อสู้กับอุปสรรคทั้งปวงได้

บนยอดเขาแห่งความสำเร็จสมปรารถนา
เพียบพร้อมทั้งเงินทอง ไมตรีจิต และความสุข
ก็จำเป็นที่จะต้องควบคุมรักษาจิตใจ
ให้รู้จักเสพเสวยสิ่งเหล่านั้นแต่พอดี
ด้วยความรู้ทันธรรมชาติ ไม่ลุ่มหลง ไม่ลืมตัว
ไม่ยอมสยบตกเป็นทาสของมัน

ขณะเดียวกันก็ใช้โอกาสนั้น
สร้างชีวิต คือ กายใจ สติปัญญา
ให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป


ในทุกขั้นตอนของวิถีชีวิต
ควรยึดมั่นในศักยภาพของมนุษย์
ว่าบุคคลสามารถสร้างสรรค์พัฒนาชีวิตของตน
ให้เข้มแข็งแกร่งกล้า
จนสามารถดำเนินชีวิตที่สะอาด สว่าง สงบ สมบูรณ์

ไม่ว่าขณะหุบเหวมืดมนอนธการ
ที่มีภัยพิบัตินานาคุกคาม
หรือให้ความสุขเกษมสานต์
พรั่งพร้อมด้วยสมบัติน่าลุ่มหลง
โดยไม่สยบยอมแพ้ตกเป็นทาส


ดังนั้น ขอเราจงมีชีวิตอยู่
ด้วยความเชื่อมั่นในความประเสริฐของชีวิต
และในความมั่นใจว่าเราจะบรรลุชีวิตเช่นนั้นได้


------------------------------------------------------------
บทความจาก : เพ่งพินิจเรื่องชีวิต โดย ระวี ภาวิไล

-----------------------------------------------------------

เมื่อคืนนี้อยู่ๆก้อเกิดอาการจิตตกอย่างกระทันหัน
รู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากไปทำงานซะอย่างนั้น

แต่พอเช้ามา ได้รับแดดตอนเช้าๆ
ได้เจอเพื่อนร่วมงาน ได้คุย ได้หัวเราะกะคนอื่นบ้าง
ก้อกลับมาสดใสได้เหมือนเดิม

สรุปว่า ชีวิตมีขึ้นมีลง (ไม่เกี่ยวแต่อยากให้เกี่ยว )


ยังไงขอให้ทุกคนมีความสุขกับทุกวันของชีวิตคับ

Monday, November 10, 2008

::The Lonely Scarecrow::



The Lonely Scarecrow

My poor old bones---I've only two--
A broom shank and a broken stave.
My ragged gloves are a disgrace.
My one peg-foot is in the grave.

I wear the labourer's old clothes:
Coat, shirt, and trousers all undone.
I bear my cross upon a hill
In rain and shine, in snow and sun.

I cannot help the way I look.
My funny hat is full of hay.
-O, wild birds, come and nest in me!
Why do you always fly away?

by James Kirkup

-------

เมื่อหลายปีก่อน ในวิชา Poetry
ผมเลือกโคลงธรรมดาบทนี้เป็นโปรเจคส่งอาจารย์
อาจจะดูง่ายไปสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องตีความมากมาย
แต่สิ่งที่ผมประทับใจคือ ความเหงาที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

ลองนึกภาพ ...

คุณเป็นหุ่นไล่กาขี้เหงาที่อยากจะเป็นเพื่อนกับนกตัวน้อยที่บินผ่านไปมา
ทำไมล่ะ ทำไม .. ทำไมไม่บินเข้ามาใกล้ๆข้า
หรือเพราะว่า ข้าอัปลักษณ์ ข้ามีรูปร่างที่น่าเกลียดใช่ไหม ...
มันช่วยไม่ได้นี่ ข้าถูกสร้างมาแบบนี้ ...
ทำไมกัน ทำไม...

หุ่นไล่กาผู้โง่เขลาเอ๋ย
ช่างไม่รู้เลยว่า
เหตุใดเจ้าจึงเกิดมา...

เจ้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกับนกเหล่านั้น
เจ้าเกิดมาเพื่อไล่ให้นกพวกนั้นไปไกลๆ
เจ้าไม่เคยรู้เลยว่า หน้าที่ของเจ้าสำคัญแค่ไหน

จะเศร้าไปใยเล่า
จะเศร้าไปใย

อย่าร้องให้ไปเลยนะ

ทุกอย่างที่เกิดมาบนโลกนี้
ล้วนแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น
อย่างน้อย
การที่เจ้า
ยืนอยู่เฉยๆในที่ของตัวเอง

แค่นี้...
ชีวิตเจ้าก็บรรลุความหมายในชีวิตที่เจ้าเกิดมาแล้ว ..

Sunday, October 26, 2008

โสด...





"หากเรามีบ้านอยู่บนดวงจันทร์สักหลัง

เมื่อเปิดหน้าต่าง แล้วมองออกไปบนท้องฟ้า

คงจะเห็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินซึ่งใครก็ไม่รู้บอกว่า

คล้ายผลส้ม ลอยสง่าอยู่อย่างสงบนิ่งและสวยงาม


แต่ในความเป็นจริงบนพื้นแผ่นผิวโลก บางครั้งความรู้สึกกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ขณะเดียวกัน ณ ริมขอบหน้าต่างที่บ้านของเราบนโลก

ในคืนดาวดับ เราเห็นกระต่ายสถิตอยู่กลางเดือนเด่นสีเงินยวงนวลตา

และใครก็ไม่รู้บอกเราว่า

มีตากับยายตำข้าวอยู่บนนั้น


แต่ในความเป็นจริงบนพื้นแผ่นผิวดวงจันทร์ กลับไม่เป็นเช่นที่เห็น

ทุกคนมี “โลก” เป็นของตัวเอง และทุกคนมีชีวิตอยู่บน “โลก”

ความเข้าใจและความรักที่แท้กระมังหนอ ที่จะทำให้ “โลก” สงบสุข"


จาก คำนำหนังสือผลส้มสีน้ำเงิน


======

ช่วงนี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเอง "โสด"
แล้วก่อนหน้านั้น ไม่โสดหรอ ก็โสดมาตลอด
ไม่เห็นจะมีใครจริงๆสักทีในชีวิต

ที่ผ่านมา
ถึงผมจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
แต่ผมก็มีใครบางคนมาทำให้ผมแอบคิดถึงอยู่เหมือนกัน
แถมระหว่างนั้นก็พอมีคนผ่านเข้ามาพูดคุย แบ่งปันความรู้สึกให้ชีวิตไม่เหงา (หรือยิ่งทำให้เหงา ก็ไม่รู้ได้)

แต่วันนี้
อยู่ๆ คนๆนั้นและคนบางคน ก็หายไปจากชีวิตของผมทั้งหมด
หายไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
ราวกับนัดหมาย ..

เมื่อก่อน..
ผมเป็นโรคกลัวความรัก
ไม่รู้ว่าเพราะเคยอกหักอย่างรุนแรงรึป่าว
ผมเลยกลัวความสัมพันธ์อย่างมาก
ประจวบกับต่อมา ดันมาแอบหลงรักเพื่อนสนิทอย่างรุนแรง แต่ไม่กล้าบอกอีก
ความรักของผมจึงไม่เคยไปถึงไหนสักที

วันนี้..
เมื่อเพื่อนคนนั้นของผมเค้าเปลี่ยนไป ระหว่างเราไม่น่าที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
แล้วใครๆที่เคยอยู่รอบตัวผมก็หายไปอีก..

แทนที่ผมจะเหงา หรือ เศร้าใจ
ผมกลับพบว่า
วันที่ผมไม่มีใคร ..
ผมกลับรู้สึก
โล่งที่ไม่ต้องเอาตัวเองไปยึดติดกับใคร..
โล่งที่ไม่ต้องเอาตัวเองไปคิดถึงใคร..
แล้วมองความรักแบบเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

เมื่อผมผ่านวันที่อ่อนแอที่สุดมา
ผมพบว่า ผมเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

วันนี้..
ผมพอจะมองเห็นแล้วว่า ตัวเองต้องการความรักแบบไหน
คนไหนแบบไหนที่ผมอยากจะอยู่เคียงคู่กับเค้า
หัวเราะและร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเค้า
ใครสักคนที่เราจะมีกันและกัน
ถึงแม้ว่าจะไม่ตลอดไป

แต่อย่างน้อย แค่ยิ้มทุกครั้งที่คิดถึง ก็ยังดี...

Wednesday, October 22, 2008

ตื่น..




“ ... เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง
มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า
ซบหน้าติดดินกินทราย

จะเจ็บจำไปถึงปรโลก
ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย
อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ ...”


เสียเจ้า...อังคาร กัลยาณพงศ

ทุกครั้งที่คิดถึงจะหยิบเอาเพลงๆหนึ่งที่น้องเคยส่งให้มาฟังเสมอ
เคยแอบน้ำตาซึมด้วย เป็นไปได้ขนาดนั้น
แต่วันนี้ได้เจออะไรบางอย่าง รู้สึกว่าใช่ น่าจะใช่นะ
อยากจะให้คิดไปเอง
แต่ว่า ...
นั่งทวบทวนกับตัวเองไปมา
นี่กรูวิ่งตามอะไรอยู่
.
.
.
เหนื่อยไหม
.
.
อย่างที่คนอื่นบอก ทำไมไม่รู้จักจำ
วันนี้ผมคิดได้แล้วนะ

"Ohana" means "family."
"Family" means "no one gets left behind."
But if you want to leave, you can.
I'll remember you though.

Friday, October 10, 2008

เพียงความเคลื่อนไหว...



"นกอยู่ฟ้านกหากไม่เห็นฟ้า
ปลาอยู่น้ำย่อมปลาเห็นน้ำไม่
ไส้เดือนไม่เห็นดินว่าฉันใด
หนอนย่อมไร้ดวงตารู้อาจม

ฉันนั้นความเปื่อยเน่าเป็นของแน่
ย่อมเกิดแก่ความนิ่งทุกสิ่งสม
แต่วันหนึ่งความเน่าในเปือกตม
ก็ผุดพรายให้ชมซึ่งดอกบัว

และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว
มันอาจขุ่นอาจข้นอาจหม่นมัว
แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน

พอเสียงรั่วรัวกลองประกาศกล้า
ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย ฯ"


เพียงความเคลื่อนไหว... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

===

กองทัพต้องหยุดสงครามกลางเมือง!

โดย สิริอัญญา
9 ตุลาคม 2551 19:06 น.

“ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่

ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”

ข้อความข้างบนนี้คือคำรำพึงรำพันของเทพแห่งกาลเวลา ผู้เป็นอมตะในทุกกาล คือไม่มีการเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งใหญ่ระดับที่ไม่มีใครในสามโลกจะต้านทานได้เลย

เป็นข้อความที่ปรากฏในโศลกแรกแห่งมหาภารตะยุทธ์ ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองชนิดหนึ่ง และผลาญชีวิตผู้คนนับล้านๆ ในระยะเวลาอันยาวนาน อันเป็นผลเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติธรรมของมนุษย์

วันนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงระบอบทุนสามานย์ และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อีกต่อไปแล้ว เพราะได้ตายไปแล้ว กลายเป็นรัฐบาลผีดิบ พรรคการเมืองผีดิบและผู้แทนราษฎรผีดิบที่กระหายเลือด รอวันที่จะลงหลุมและถูกกลบฝังไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น

ที่ต้องพูดถึงก็คือสถานการณ์ในบ้านเมืองวันนี้มีสภาพไม่ต่างอันใดกับสถานการณ์บางห้วงเวลาในประเทศเลบานอน ซึ่งเป็นสงครามกลางเมือง แต่ละวันมีแต่กลิ่นคาวเลือด เสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงร่ำไห้ระงม

ขณะนี้มันอยู่ในระยะเพิ่งเริ่มต้น เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นยังคงเกิดขึ้นในเวลากลางคืน แต่หากไม่หยุดยั้งไว้ มันก็จะเกิดขึ้นทั้งวันทั้งคืนและจะขยายตัวลุกลามไปทั่วประเทศ

สถานการณ์ในวันนี้ ประชาชนผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ร่วม 20 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้คนในแทบทุกวงการไม่ยอมรับการปกครองของรัฐบาลทรราชอีกต่อไปแล้ว การต่อต้าน การต่อสู้กำลังแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง และถูกยกระดับแหลมคมขึ้นทุกที

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่มีผู้ปกครองหรือรัฐบาลใดจะยืนอยู่ได้ หากว่าประชาชนไม่ยอมรับการปกครองแล้ว อย่าว่าแต่จะมีปริมาณร่วม 20 ล้านคน เอากันแค่ไม่กี่แสนคนหรือล้านคน ก็ต้องพังพินาศย่อยยับไปแล้ว
การดันทุรังอยู่ในอำนาจท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความพินาศของบ้านเมืองนั้น เห็นได้ชัดในตัวว่ามิใช่อยู่เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม แต่เป็นการอยู่เพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้องเท่านั้น ซึ่งไม่มีวันที่จะสงบสุขได้เลย

ไม่เห็นหรือว่าวันนี้ก็มีข่าวแล้วว่านายกรัฐมนตรีต้องส่งครอบครัวออกไปอยู่ยังต่างประเทศ เพราะเกรงว่าไม่มีความปลอดภัย เนื่องจากกลัวว่าจะมีการปฏิวัติ

เป็นความไม่ปลอดภัยที่กำลังคุกคามพรรคร่วมรัฐบาล และผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนครอบครัวที่ไม่เป็นปกติสุขได้อีกต่อไปแล้ว ทุกคนกำลังถูกตราหน้าว่าเป็นทรราช เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด

ที่กลัวการปฏิวัติและเกรงไม่ปลอดภัยจากทหารนั้นเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่กว่าก็คือมวลมหาประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทุกหนทุกแห่งที่เปี่ยมด้วยความคับแค้นในจิตใจนั่นต่างหากที่น่ากลัวกว่า เพราะไม่มีใครที่จะหลุดรอดพ้นไปจากหูตาและน้ำมือของประชาชนได้เลย

อำนาจรัฐตำรวจก่ออาชญากรรมสังหารโหดและทำร้ายประชาชนจนล้มตายและบาดเจ็บเกือบ 500 คน ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าตำรวจได้ใช้อาวุธสงครามนานาชนิดเข้าล้างผลาญประชาชนที่บริสุทธิ์และมีแต่สองมือเปล่า

แต่ยังไม่หนำแก่ใจยังบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีว่าผู้ตายก็ดี คนเจ็บก็ดี เป็นผู้สร้างสถานการณ์ เป็นผู้ก่อความไม่สงบ เป็นผู้ทำร้ายตำรวจ กระทั่งขว้างระเบิดใส่ตัวเอง

การกระทำเช่นนั้นสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจและคับแค้นใจอย่างสุดแสนที่จะพรรณนา ทั้งแก่ครอบครัวของผู้ตาย ทั้งแก่ผู้บาดเจ็บและญาติมิตร ตลอดจนประชาชนที่รักความเป็นธรรมทั้งปวง เป็นพฤติกรรมไม่ต่างกับการฆ่าคนจนตายแล้วข่มขืนศพซ้ำอีก

ความเจ็บช้ำน้ำใจและความคับแค้นใจเช่นนี้แหละได้ทำลายความเชื่อในความอหิงสาและสันติจนหมดสิ้น ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยสงบสุขกลับลุกเป็นไฟ ก็ภายใต้เงื้อมมือของรัฐตำรวจในห้วงเวลาของการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด

มีการใช้อำนาจเถื่อนอุ้มฆ่าประชาชนไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นอิหม่าม กอเต็บ บิลัน หรือประชาชนทั่วไป เพียงแค่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ใช้ระบบศาลเตี้ยตัดสินประหารผลาญชีวิตผู้คนอย่างเหี้ยมโหดอำมหิต

ได้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่ประชาชนในพื้นที่นั้นจนสุดแสนจะทนทาน และยังไม่หนำแก่ใจ ยังมีการใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนหาว่าพี่น้องคนไทยมุสลิมเหล่านั้นเป็นผู้ค้ายาเสพติด เป็นอาชญากร เป็นคนชั่วช้าเลวทราม

จากความโกรธแค้นก็เพิ่มเป็นความเคียดแค้นคับแค้นชิงชัง ทำลายวัตรปฏิบัติที่ทรงศีลและยึดมั่นอยู่ในหลักสันติธรรมแห่งอิสลามจนหมดสิ้น

พี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้และเข่นฆ่าตำรวจเหล่านั้น จนต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาซุกหัวในกระดองที่กรุงเทพฯ

ในที่สุดกองทัพไทยก็ต้องเข้าไปแบกรับภาระอันหนักที่ถูกอำนาจรัฐตำรวจอำมหิตสร้างกรรมทำเข็ญไว้ ต้องเผชิญกับความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินนับไม่ถ้วนต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จนวันนี้ก็ยังไม่ยุติ

คณะตำรวจที่ก่อเหตุคราวนั้น วันนี้เติบใหญ่ในอำนาจและได้ใช้วิธีการเดียวกันในการปราบปรามและสังหารโหดประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลามหาวิปโยค และใช้วิธีการถนัด “ฆ่าและข่มขืนศพ” เช่นเดียวกับที่เคยกระทำมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

เพราะเหตุนั้น ความศรัทธาในสันติและอหิงสาที่ประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยึดมั่นตลอดมาจึงถูกทำลายลง

พี่น้องประชาชนจากภาคใต้ทุกจังหวัดได้ขึ้นมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก บาดเจ็บและพิการเป็นจำนวนมาก แล้วยังถูกกล่าวหาว่าพกพาระเบิดหรือทำร้ายตัวเองเสียอีก

เสียงซึ่งก้องกระหึ่มในวันนี้แต่รัฐบาลทรราชไม่ได้ยินก็คือ “กูไม่ยอมให้มึงฆ่าพวกกูข้างเดียวอีกแล้ว”

มันไม่ใช่เสียงจากพี่น้องชาวภาคใต้เท่านั้น แต่เป็นเสียงของพี่น้องประชาชนที่มาจากทุกแห่งหนทั่วประเทศด้วย

นี่คือสมุฏฐานและปฐมเหตุของสงครามกลางเมืองที่มีตัวอย่างให้เห็นเด่นชัดแล้วในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมันกำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา หากหยุดยั้งเอาไว้ไม่ได้

แล้วใครเล่าที่มีหน้าที่โดยตรงในการหยุดยั้งสงครามกลางเมือง ที่แน่นอนย่อมไม่ใช่อำนาจรัฐตำรวจ เนื่องจากได้กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาเช่นเดียวกับที่ได้เป็นต้นเหตุมาแล้วในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็คือกองทัพไทย ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามรัฐธรรมนูญในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแห่งชาติ ในการปกป้องพิทักษ์รักษาประชาชน และพิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์

จะอ้างความเป็นกลางหรือทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้อีกแล้ว และต้องตระหนักให้ดีว่าในวันนี้ความเสื่อมได้คืบคลานเข้ามายังกองทัพไทยอย่างหนักหน่วงแล้ว

กองทัพไทยวางเฉยให้ตำรวจก่อกรรมสังหารและทำร้ายประชาชนใจกลางพระนคร และใกล้เขตพระราชฐาน เป็นการละเลยต่อหน้าที่ปกป้องประชาชน ทั้งๆ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเมตตาพระราชทานเงินและหน่วยแพทย์พยาบาลมาช่วยเหลือประชาชนให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว

การอ้างความเป็นกลางแบบนี้ก็คือการวางเฉยให้ตำรวจที่ป่าเถื่อนเข่นฆ่าสังหารประชาชนไม่ใช่หรือ?

ความมั่นคงภายในกรุงเทพมหานครที่เสื่อมสิ้นลงและกำลังมีสภาพเป็นสงครามกลางเมือง เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรอให้ใครมาขอให้ช่วย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือวางเฉยเป็นกลาง

เพราะคิดและทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ ทหารเขมรกระจอกๆ จึงข่มเหงรุกรานรุกล้ำและย่ำยีประเทศไทยไม่เว้นในแต่ละวัน กระทั่งออกข่าวว่านายทหารไทยไปยอมจำนนกราบกรานขอขมาลาโทษให้อับอายขายหน้าไปทั่วโลก

การที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองย่อมกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนประชาชน

เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพและเหล่าทหารที่ต้องจัดการแก้ไข และไม่อาจอ้างความเป็นกลางหรือวางเฉยได้อีกแล้ว

กองทัพจะต้องหยุดยั้งภัยแห่งสงครามกลางเมืองให้ทันท่วงที โดยกำจัดต้นเหตุแห่งความคับแค้นจิตใจของประชาชนเสียโดยเร็ว

ไม่ใช่เรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ แต่เป็นหน้าที่กองทัพที่จะต้องขจัดอาชญากรมือเปื้อนเลือดไม่ให้ใช้อำนาจเถื่อนล้างผลาญประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันสำคัญของชาติ

หากผู้ที่รับผิดชอบยังวางเฉยให้ตำรวจและอันธพาลของรัฐบาลฆ่าประชาชน ปล่อยให้เกิดสงครามกลางเมืองต่อไปโดยไม่สำนึกในคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้ถวายไว้ต่อหน้าพระพักตร์ก็ดี หรือต่อหน้าธงชัยเฉลิมพลก็ดี ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบในระดับรองๆ ลดหลั่นลงไป ที่ต้องเข้ามากอบกู้สถานการณ์ในบ้านเมือง

เพราะสงครามกลางเมืองนั้นหากเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจยับยั้งหรือทำให้ยุติได้ในเร็ววัน แค่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงวันนี้ก็ยังแก้ไม่ตก หากเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศเล่า ประเทศไทยของเราจะยืนอยู่ได้อย่างไร?

เราจะมีกองทัพไว้เพื่อประโยชน์อันใดอีก?

==

"ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า
ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน
ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป

เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน."

ท้องฟ้าสีทอง โดย ... วิสา คัญทัพ

Friday, August 1, 2008

so happy together!



Imagine me and you I do
I think about you day and night
It's only right
To think about the girl you love
And hold her tight
So happy together
If I should call you up invest a dime
And you say you belong to me
And ease my mind
Imagine how the world could be
So very fine
So happy together
I can see me lovin' nobody but you
For all my life
When you're with me baby the skies'll be blue
For all my life
Me and you and you and me
No matter how they toss the dice
It had to be
The only one for me is you
And you for me
So happy together
I can see me lovin' nobody but you
For all my life
When you're with me baby the skies'll be blue
For all my life
Me and you and you and me
No matter how they toss the dice
It had to be
The only one for me is you
And you for me
So happy together
Me and you and you and me
No matter how they toss the dice
It had to be
The only one for me is you
And you for me
So happy together
So happy together
How is the weather
So happy together
We're happy together
So happy together
Happy together
So happy together
So happy together