Saturday, November 3, 2007
our song
ใคร..อาจจะไม่เข้าใจ
ว่าความสัมพันธ์ของเรา
นั้นมันเป็นเช่นไร
และใคร..อาจจะเข้าใจผิด
และคงคิดไป
และคงเข้าใจตามที่เห็น
คง..มีเพียงเราสองคน
ท่ามกลางหมู่ดาวมากมาย
ที่รู้กันในใจ
มันจำเป็นด้วยหรือ ที่ต้องอยู่ในกฏเกณฑ์
ที่ใครบางคนกำหนด ว่ารักเป็นอย่างไร
ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันกันแบบไหน
ไม่อาจหาคำคำไหนมาเพื่ออธิบาย
ไม่ต้องรักเหมือนคนรัก ก็สุขหัว..ใจ
เพียงแค่เราเข้าใจ ก็เหนือคำอื่นใดในโลกนี้
เรา..อาจจะแยกกันอยู่
ไม่นอนด้วยกันทุกคืนทุกวัน
อย่างคู่ใคร
อย่างน้อย..มีเธอที่เข้าใจ
แม้จะไม่มีผุ้ใดเข้าใจความรักนี้
คง..มีเพียงเราสองคน
ท่ามกลางหมู่ดาวมากมาย
ที่รู้กันในใจ
มันจำเป็นด้วยหรือ ที่ต้องอยู่ในกฏเกณฑ์
ที่ใครบางคนกำหนด ว่ารักเป็นอย่างไร
ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันกันแบบไหน
ไม่อาจหาคำคำไหนมาเพื่ออธิบาย
ไม่ต้องรักเหมือนคนรัก ก็สุขหัว..ใจ
เพียงแค่เราเข้าใจ ก็เหนือคำอื่นใดในโลกนี้
ป้ายกำกับ:
All the colourful thought in life
Thursday, October 11, 2007
ถึงเธอคนนั้น...
codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab
#version=6,0,29,0" width="210" height="147">
quality="high" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"
type="application/x-shockwave-flash" bgcolor="#000000">
เพลงนี้เป็นเพลงที่ฉันนั้นเขียนให้เธอ
คนรักที่ฉันยังไม่เคยเจอสักครั้ง
ก็ฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งจะร้องเพลงนี้ให้ฟัง
แต่ว่ายังไม่เจอ ไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน
หลับตา ลองนึกว่าเธอนั้นเป็นยังไง
จะมีอะไรที่คล้ายๆกันบ้างไหม
จะเป็นคนใกล้ตัวหรือเปล่า หรือว่าเป็นคนห่างไกล
และต้องทำยังไงให้เรานั้นได้เจอะกัน
ดวงใจดวงนี้มีความรัก ล่องลอยคอยไปอย่างเคว้งคว้าง
ผ่านวันอ้างว้างนี้โดยลำพังหวังเพียงสักวันได้พบใคร
ดวงใจดวงนี้มีความรัก อยากให้มีคนได้มันไป
เธออยู่ที่ไหนรักแท้ของฉัน ต้องรออีกนานสักเท่าไร
ถึงจะได้เจอ
หากฉัน มีวันได้พบเขานั้นจริงๆ
ฉันพร้อมทำทุกๆสิ่งเพื่อเขา
จะทำให้เขามีความสุข จะไม่ให้เขาปวดร้าว
ไม่ปล่อยเขาให้เหงา จะรักเขาจนหมดใจ
ดวงใจดวงนี้มีความรัก ล่องลอยคอยไปอย่างเคว้งคว้าง
ผ่านวันอ้างว้างนี้โดยลำพังหวังเพียงสักวันได้พบใคร
ดวงใจดวงนี้มีความรัก อยากให้มีคนได้มันไป
เธออยู่ที่ไหนรักแท้ของฉัน ต้องรออีกนานสักเท่าไร
ถึงจะได้เจอ
ดวงใจดวงนี้มีความรัก ล่องลอยคอยไปอย่างเคว้งคว้าง
ผ่านวันอ้างว้างนี้โดยลำพังหวังเพียงสักวันได้พบใคร
ดวงใจดวงนี้มีความรัก อยากให้มีคนได้มันไป
เธออยู่ที่ไหนรักแท้ของฉัน ต้องรออีกนานสักเท่าไร
ถึงจะได้เจอ
=====
โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร
เพลง: ถึงเธอคนนั้น
อัลบั้ม: Living in C Major
======
ช่วงนี้ทำไมรู้สึกว่าตัวเองชอบคิดเกี่ยวกับ Destiny บ่อยจังเลยฟร่ะ
ไม่เข้าใจเลย หรือว่า ความเหงามันเกาะกุมใจแบบไม่รู้ตัว
ทั้งๆที่บอกตัวเองทุกวัน ว่าอยู่คนเดียวได้
แต่เพลงนี้ก็แอบโดนใจเช่นเคย
#version=6,0,29,0" width="210" height="147">
quality="high" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"
type="application/x-shockwave-flash" bgcolor="#000000">
เพลงนี้เป็นเพลงที่ฉันนั้นเขียนให้เธอ
คนรักที่ฉันยังไม่เคยเจอสักครั้ง
ก็ฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งจะร้องเพลงนี้ให้ฟัง
แต่ว่ายังไม่เจอ ไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน
หลับตา ลองนึกว่าเธอนั้นเป็นยังไง
จะมีอะไรที่คล้ายๆกันบ้างไหม
จะเป็นคนใกล้ตัวหรือเปล่า หรือว่าเป็นคนห่างไกล
และต้องทำยังไงให้เรานั้นได้เจอะกัน
ดวงใจดวงนี้มีความรัก ล่องลอยคอยไปอย่างเคว้งคว้าง
ผ่านวันอ้างว้างนี้โดยลำพังหวังเพียงสักวันได้พบใคร
ดวงใจดวงนี้มีความรัก อยากให้มีคนได้มันไป
เธออยู่ที่ไหนรักแท้ของฉัน ต้องรออีกนานสักเท่าไร
ถึงจะได้เจอ
หากฉัน มีวันได้พบเขานั้นจริงๆ
ฉันพร้อมทำทุกๆสิ่งเพื่อเขา
จะทำให้เขามีความสุข จะไม่ให้เขาปวดร้าว
ไม่ปล่อยเขาให้เหงา จะรักเขาจนหมดใจ
ดวงใจดวงนี้มีความรัก ล่องลอยคอยไปอย่างเคว้งคว้าง
ผ่านวันอ้างว้างนี้โดยลำพังหวังเพียงสักวันได้พบใคร
ดวงใจดวงนี้มีความรัก อยากให้มีคนได้มันไป
เธออยู่ที่ไหนรักแท้ของฉัน ต้องรออีกนานสักเท่าไร
ถึงจะได้เจอ
ดวงใจดวงนี้มีความรัก ล่องลอยคอยไปอย่างเคว้งคว้าง
ผ่านวันอ้างว้างนี้โดยลำพังหวังเพียงสักวันได้พบใคร
ดวงใจดวงนี้มีความรัก อยากให้มีคนได้มันไป
เธออยู่ที่ไหนรักแท้ของฉัน ต้องรออีกนานสักเท่าไร
ถึงจะได้เจอ
=====
โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร
เพลง: ถึงเธอคนนั้น
อัลบั้ม: Living in C Major
======
ช่วงนี้ทำไมรู้สึกว่าตัวเองชอบคิดเกี่ยวกับ Destiny บ่อยจังเลยฟร่ะ
ไม่เข้าใจเลย หรือว่า ความเหงามันเกาะกุมใจแบบไม่รู้ตัว
ทั้งๆที่บอกตัวเองทุกวัน ว่าอยู่คนเดียวได้
แต่เพลงนี้ก็แอบโดนใจเช่นเคย
Wednesday, October 10, 2007
Turn left, turn right : Do you believe in DESTINY?
เขาถือร่มสีเขียว
เธอถือร่มสีแดง
ยืนอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน
เขาเล่นไวโอลิน
เธอเขียนหนังสือ
อยู่ในห้องที่มีผนังติดกัน
เขานั่งอ่านโน้ต เธอนั่งอ่านบทกวี
ห่างกันแค่ชั่วหนึ่งน้ำพุกั้น
เขาไม่รู้จักชื่อเธอ
เธอไม่รู้จักชื่อเขา
เอาแต่เพรียกหากันกลางโลกอันวุ่นวายใบนี้
ถามหาอีกคนที่อาจไม่เคยพบหน้า
ทว่าเสมือนรู้จักกันชั่วชีวิต
.............................................
เวลามีใครถามว่า คุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่า
หนุ่มสาวในวัยฟุ้งฝันมักตอบว่าเชื่อ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ใหญ่มากมายล้วนมองว่าไร้สาระ
บนโลกกว้างใหญ่ใบนี้
จะมีใครที่เกิดมาเพื่อกันอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือเปล่า
ฟังดูโรแมนติค แต่ก็ฟังดูโง่เง่า
ที่ยึดติดอยู่กับสิ่งที่อาจไม่มีอยู่จริง
...........................................
หนังturn left turn right เรื่องนี้
ถูกสร้างขึ้นจากนิยายภาพชื่อเดียวกัน
ของนักวาดนิยายภาพชื่อดังนาม จิมมี่ เหลียว
นิยายภาพของเขามักฉายภาพความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของหนุ่มสาวในเมืองใหญ่
คนที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง ตามหารักแท้ที่อาจไม่มีอยู่
ตัวหนังสือนั้นเป็นเสมือนฉากภาพเล็กๆที่ร้อยเรียงกันเข้า
ตัวเอกมักยืนตัวเล็กจ้อยกลางฉากหลังอะไรบางอย่างที่ดูเงียบเหงา งดงาม และฟุ้งฝัน
ภาพหนึ่งภาพทดแทนความในใจมากมายที่ไม่อาจบอกกล่าว
และตัวหนังสือturn left turn right
ดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องของพรหมลิขิตเล่นตลก
ที่ชักพาคนสองคนให้พบเจอ พลัดพราก คิดถึง และพบกันอีกครั้งหนึ่ง
ในขณะที่เมื่อนำขึ้นจอใหญ่
หนังกลับเลือกที่จะไม่ยึดกอยู่กับแก่นแกนของบทประพันธ์เดิม
หากกลับเลือกที่จะเล่าถึง
คนสองคนที่โดนพรหมลิขิตเล่นงาน
ชายหนุ่มเคยพบหญิงสาวมาแล้วเมื่อครั้งยังเด็ก
แอบชอบกันระหว่างการไปทัศนศึกษาครั้งหนึ่ง
แล้วจบลงไปพร้อมวัยเยาว์
สิบสามปีผ่านไป
พรหมลิขิตชักพาทั้งคู่ให้มาอยู่ใกล้กัน
คนหนึ่งเอาแต่เลี้ยวซ้าย ส่วนอีกคนเอาแต่เลี้ยวขวา
ตามหากันและกันกลางผู้คน
พวกเขาพบกันอีกครั้งในสถานการณ์เดิม
ก่อนที่พรหมลิขิตจะเล่นตลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พรากพวกเขาออกจากกันทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือ
สิ่งที่ยึดโยงทั้งคู่ไว้ มีเพียงเลขประจำตัวครั้งเป็นนักเรียน
กับหมายเลขโทรศัพท์ที่ลบเลือนไปตามแรงฝน
ทั้งคู่คล้ายคลึงกัน
ติดอยู่ในโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่เพียงลำพัง
ทำงานที่อาจจะเป็นงานที่รัก แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คาดหวัง
ทั้งคู่แทบไม่มีเพื่อน(แม้แต่คนดูก็ไม่รู้จักชื่อพวกเขา รู้แต่หมายเลขประจำตัว)
กับผู้คนที่เข้ามาในชีวิต
พวกเขาก็ไม่เคยเปิดใจยอมรับ
เอาแต่มองหากันอย่างเงียบเหงา
เอาเข้าจริงแล้วดูเหมือนสิ่งที่หนังอยากจะบอกคือ
มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่เอาแต่-ยึดติดอยู่กับพรหมลิขิต -
และโดนพรหมลิขิตเล่นงานกันจนสะบักสะบอม
ฉากสำคัญที่ทั้งคู่เห็นรูปถ่ายที่มีกันและกันอยู่ในทุกหนทุกแห่ง (ซึ่งหนยิบยกมาจากภาพในหนังสือภาพอีกที)ทั้งคู่ตกใจ
เมื่อพบว่าทั้งๆที่ตามหากันมาแสนนานแต่กลับไม่เคยพบเจอ
จนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเพียงแค่ทั้งคู่มองดูผู้อื่นสักเล็กน้อย
อาจไม่ต้องเจ็บปวดเพราะพรหมลิขิตก็เป็นได้
ซึ่งจะว่าไปแล้ว
763092 และ 784533 ใช่หรือไม่ที่เป็นตัวแทนของหนุ่มสาวของอยุคสมัย
การให้ตัวเอกเป็นนักดนตรีกับ นักแปลกวี
ส่วนหนึ่งดูเป็น ความโรแมนติกเพราะมันเป็นเสมือนอาชีพที่หนุ่มสาวใฝ่ฝัน (ฉากเดี่ยวไวโอลินและอ่านบทกวีถูกถ่ายทอดให้ออกมาดูดีมากๆ)
แต่หากมองจากมุมกลับ
มันคือมายาคติที่หนุ่มสาวในยุคสมัยของเรายึดติด (หรือถูกหล่อหลอมให้ยึดติด)
เป็นภาพโรแมนติกที่ไม่มีอยู่จริง
และบางทีอาจเพราะเราต่างยึดโยงอยู่กับมายาคติมากมายเกินไป
เราจึงมองไม่เห็นเลยว่าที่แท้แล้ว
คนเหงาสองคนนี้คือคนที่ไม่มีเพื่อนเลยสักคน ปิดขังตัวเองไว้ในโลกภายใน
ที่ไม่อาจออกมาได้
ในขณะที่ตัวละครอีกสองตัว(ซึ่งหนังเพิ่มจากหนังสือภาพ)
คือเด็กสาวร้านอาหารจานด่วนกับคุณหมอก๊องๆ(หลายๆฉากอ้คุณหมอนี่ดูคุกคามพิลึก)ที่กล้ารักกล้าแค้น
หลายคนมองว่านี่เป็นการเติมบทประพันธ์จนเลอะเทอะ(เพราะทั้งคู่ได้เล่นมุขบ่อย และขโมยซีนแหลกจะพระนางสุดติ๋มทั้งคู่)
แต่ในส่นหนึ่งที่แท้แล้วทั้งคู่กลับเป็นตัวแทนของผู้คนที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเป็นสุข
ในบางมุมพวกเขาอาจดูร้ายกาจ บ้าบอ
แต่มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้
ที่สำคัญคือการกล้ารักกล้าแค้นของเขาทั้งคู่
และการไม่ปิดขังตัวเองไว้ในโลกงดงาม(ที่อาจไม่มีอยู่จริง)
ทำให้ทั้งคู่ในที่สุดก็ตกหลุมรักกัน(แม้จะง่ายไปหน่อย)
รวมไปถึงคู่ชายแก่ หญิงชราเจาของบ้านเช่าของทั้งคู่
ซึ่งในส่วนนี้
ดูเหมือนหนังจะบอกกับเราว่า
โลกนี้นั้นล้วนเต็มไปด้วยพรหมลิขิต
แต่การยึดติดกับพรหมลิขิตจนไม่เปิดตามอง
อาจทำให้เราโดนพรหมลิขิตเล่นงานจนสะบักสะบอมก็เป็นได้
.............................................
น่าเสียดายอยู่หน่อยที่ในที่สุดแผ่นดินไหวในตอนท้ายเรื่อง
จะทำให้ความเข้มข้นของการโดนพรหมลิขิตเล่นงานลดน้อยถอยลงไปจนเกือบหมด
เหมือนกับท้ายที่สุดพรหมลิขิตก็เลิกเล่นตลก
และเปลี่ยนความไม่เที่ยงแท้(ที่งดงามยิ่งกว่า)ไปสู่ความเที่ยงแท้
(สวนทางกับบทกวีบทโปรดของนางเอก)
...............................................
และเราค้นพบว่า
โลกนี้ล้วนเต็มไปด้วยพรหมลิขิต
มีคนมากมายที่เกิดมาเพื่อใครสักคน
เรารอคอยกันและกันอยู่
แต่ใช่จะต้องมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อรอคอย
บางทีแค่เพียงเลิกรอ
พรหมลิขิตอาจมาปรากฏตรงหน้าโดยที่เราไม่คาดฝันก็เป็นได้
---------------
โดย filmsick
http://filmsick.exteen.com/
เธอถือร่มสีแดง
ยืนอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน
เขาเล่นไวโอลิน
เธอเขียนหนังสือ
อยู่ในห้องที่มีผนังติดกัน
เขานั่งอ่านโน้ต เธอนั่งอ่านบทกวี
ห่างกันแค่ชั่วหนึ่งน้ำพุกั้น
เขาไม่รู้จักชื่อเธอ
เธอไม่รู้จักชื่อเขา
เอาแต่เพรียกหากันกลางโลกอันวุ่นวายใบนี้
ถามหาอีกคนที่อาจไม่เคยพบหน้า
ทว่าเสมือนรู้จักกันชั่วชีวิต
.............................................
เวลามีใครถามว่า คุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่า
หนุ่มสาวในวัยฟุ้งฝันมักตอบว่าเชื่อ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ใหญ่มากมายล้วนมองว่าไร้สาระ
บนโลกกว้างใหญ่ใบนี้
จะมีใครที่เกิดมาเพื่อกันอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือเปล่า
ฟังดูโรแมนติค แต่ก็ฟังดูโง่เง่า
ที่ยึดติดอยู่กับสิ่งที่อาจไม่มีอยู่จริง
...........................................
หนังturn left turn right เรื่องนี้
ถูกสร้างขึ้นจากนิยายภาพชื่อเดียวกัน
ของนักวาดนิยายภาพชื่อดังนาม จิมมี่ เหลียว
นิยายภาพของเขามักฉายภาพความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของหนุ่มสาวในเมืองใหญ่
คนที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง ตามหารักแท้ที่อาจไม่มีอยู่
ตัวหนังสือนั้นเป็นเสมือนฉากภาพเล็กๆที่ร้อยเรียงกันเข้า
ตัวเอกมักยืนตัวเล็กจ้อยกลางฉากหลังอะไรบางอย่างที่ดูเงียบเหงา งดงาม และฟุ้งฝัน
ภาพหนึ่งภาพทดแทนความในใจมากมายที่ไม่อาจบอกกล่าว
และตัวหนังสือturn left turn right
ดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องของพรหมลิขิตเล่นตลก
ที่ชักพาคนสองคนให้พบเจอ พลัดพราก คิดถึง และพบกันอีกครั้งหนึ่ง
ในขณะที่เมื่อนำขึ้นจอใหญ่
หนังกลับเลือกที่จะไม่ยึดกอยู่กับแก่นแกนของบทประพันธ์เดิม
หากกลับเลือกที่จะเล่าถึง
คนสองคนที่โดนพรหมลิขิตเล่นงาน
ชายหนุ่มเคยพบหญิงสาวมาแล้วเมื่อครั้งยังเด็ก
แอบชอบกันระหว่างการไปทัศนศึกษาครั้งหนึ่ง
แล้วจบลงไปพร้อมวัยเยาว์
สิบสามปีผ่านไป
พรหมลิขิตชักพาทั้งคู่ให้มาอยู่ใกล้กัน
คนหนึ่งเอาแต่เลี้ยวซ้าย ส่วนอีกคนเอาแต่เลี้ยวขวา
ตามหากันและกันกลางผู้คน
พวกเขาพบกันอีกครั้งในสถานการณ์เดิม
ก่อนที่พรหมลิขิตจะเล่นตลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พรากพวกเขาออกจากกันทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือ
สิ่งที่ยึดโยงทั้งคู่ไว้ มีเพียงเลขประจำตัวครั้งเป็นนักเรียน
กับหมายเลขโทรศัพท์ที่ลบเลือนไปตามแรงฝน
ทั้งคู่คล้ายคลึงกัน
ติดอยู่ในโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่เพียงลำพัง
ทำงานที่อาจจะเป็นงานที่รัก แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คาดหวัง
ทั้งคู่แทบไม่มีเพื่อน(แม้แต่คนดูก็ไม่รู้จักชื่อพวกเขา รู้แต่หมายเลขประจำตัว)
กับผู้คนที่เข้ามาในชีวิต
พวกเขาก็ไม่เคยเปิดใจยอมรับ
เอาแต่มองหากันอย่างเงียบเหงา
เอาเข้าจริงแล้วดูเหมือนสิ่งที่หนังอยากจะบอกคือ
มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่เอาแต่-ยึดติดอยู่กับพรหมลิขิต -
และโดนพรหมลิขิตเล่นงานกันจนสะบักสะบอม
ฉากสำคัญที่ทั้งคู่เห็นรูปถ่ายที่มีกันและกันอยู่ในทุกหนทุกแห่ง (ซึ่งหนยิบยกมาจากภาพในหนังสือภาพอีกที)ทั้งคู่ตกใจ
เมื่อพบว่าทั้งๆที่ตามหากันมาแสนนานแต่กลับไม่เคยพบเจอ
จนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเพียงแค่ทั้งคู่มองดูผู้อื่นสักเล็กน้อย
อาจไม่ต้องเจ็บปวดเพราะพรหมลิขิตก็เป็นได้
ซึ่งจะว่าไปแล้ว
763092 และ 784533 ใช่หรือไม่ที่เป็นตัวแทนของหนุ่มสาวของอยุคสมัย
การให้ตัวเอกเป็นนักดนตรีกับ นักแปลกวี
ส่วนหนึ่งดูเป็น ความโรแมนติกเพราะมันเป็นเสมือนอาชีพที่หนุ่มสาวใฝ่ฝัน (ฉากเดี่ยวไวโอลินและอ่านบทกวีถูกถ่ายทอดให้ออกมาดูดีมากๆ)
แต่หากมองจากมุมกลับ
มันคือมายาคติที่หนุ่มสาวในยุคสมัยของเรายึดติด (หรือถูกหล่อหลอมให้ยึดติด)
เป็นภาพโรแมนติกที่ไม่มีอยู่จริง
และบางทีอาจเพราะเราต่างยึดโยงอยู่กับมายาคติมากมายเกินไป
เราจึงมองไม่เห็นเลยว่าที่แท้แล้ว
คนเหงาสองคนนี้คือคนที่ไม่มีเพื่อนเลยสักคน ปิดขังตัวเองไว้ในโลกภายใน
ที่ไม่อาจออกมาได้
ในขณะที่ตัวละครอีกสองตัว(ซึ่งหนังเพิ่มจากหนังสือภาพ)
คือเด็กสาวร้านอาหารจานด่วนกับคุณหมอก๊องๆ(หลายๆฉากอ้คุณหมอนี่ดูคุกคามพิลึก)ที่กล้ารักกล้าแค้น
หลายคนมองว่านี่เป็นการเติมบทประพันธ์จนเลอะเทอะ(เพราะทั้งคู่ได้เล่นมุขบ่อย และขโมยซีนแหลกจะพระนางสุดติ๋มทั้งคู่)
แต่ในส่นหนึ่งที่แท้แล้วทั้งคู่กลับเป็นตัวแทนของผู้คนที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเป็นสุข
ในบางมุมพวกเขาอาจดูร้ายกาจ บ้าบอ
แต่มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้
ที่สำคัญคือการกล้ารักกล้าแค้นของเขาทั้งคู่
และการไม่ปิดขังตัวเองไว้ในโลกงดงาม(ที่อาจไม่มีอยู่จริง)
ทำให้ทั้งคู่ในที่สุดก็ตกหลุมรักกัน(แม้จะง่ายไปหน่อย)
รวมไปถึงคู่ชายแก่ หญิงชราเจาของบ้านเช่าของทั้งคู่
ซึ่งในส่วนนี้
ดูเหมือนหนังจะบอกกับเราว่า
โลกนี้นั้นล้วนเต็มไปด้วยพรหมลิขิต
แต่การยึดติดกับพรหมลิขิตจนไม่เปิดตามอง
อาจทำให้เราโดนพรหมลิขิตเล่นงานจนสะบักสะบอมก็เป็นได้
.............................................
น่าเสียดายอยู่หน่อยที่ในที่สุดแผ่นดินไหวในตอนท้ายเรื่อง
จะทำให้ความเข้มข้นของการโดนพรหมลิขิตเล่นงานลดน้อยถอยลงไปจนเกือบหมด
เหมือนกับท้ายที่สุดพรหมลิขิตก็เลิกเล่นตลก
และเปลี่ยนความไม่เที่ยงแท้(ที่งดงามยิ่งกว่า)ไปสู่ความเที่ยงแท้
(สวนทางกับบทกวีบทโปรดของนางเอก)
...............................................
และเราค้นพบว่า
โลกนี้ล้วนเต็มไปด้วยพรหมลิขิต
มีคนมากมายที่เกิดมาเพื่อใครสักคน
เรารอคอยกันและกันอยู่
แต่ใช่จะต้องมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อรอคอย
บางทีแค่เพียงเลิกรอ
พรหมลิขิตอาจมาปรากฏตรงหน้าโดยที่เราไม่คาดฝันก็เป็นได้
---------------
โดย filmsick
http://filmsick.exteen.com/
Tuesday, October 2, 2007
Jeux d'enfants - Love me if you dare (2003) : รักแท้หรือแค่เกมส์
Jeux d'enfants - Love me if you dare (2003)
พึ่งได้ดูจบไปเมื่อกี้อีกแล้ว
จบด้วยความรู้สึกที่อึ้ง ทึ่ง แล้วก้อ อะไรกันเนี่ย
ปกติ เป็นคนชอบดูหนังฝรั่งเศสมากคับแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูนัก
ที่ชอบเพราะว่ามันจะมีเอกลักษณ์ ภาพเก๋ พล้อตเรื่องแปลก ตัวละครเพี้ยนดี ไม่เหมือนใคร เช่นเรื่อง Amelie เนี่ยคับ ชอบมาก
แต่พอดูหนังเรื่องนี้จบลง มันมึนเหมือนกันนะคับ
หนังเรื่องนี้ไอเดียแปลกดี เรื่องราวเริ่มที่ จูเลี่ยน และ โซฟี เด็ก(ที่ดูเหมือนจะ)ปกติทั้งสองคนโคจรมาเจอกัน โซเฟียที่มักจะถูกเพื่อนรังแก และจูเลี่ยนผู้ซึ่งมีแม่ที่กำลังจะตาย
ทั้ง2มาคบกันและเริ่มเล่น"เกมส์" โดยใช้กล่องสังกะสีเป็นตัวกลาง ใครถืออยู่อีกฝ่ายก็จะท้าว่ากล้าทำ....หรือไม่ แล้วกล่องก็จะสับไปมาระหว่าง2ฝ่าย
เกมส์ของทั้งสองคนเริ่มตลกร้ายขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับไม่มีใครจะยอมใคร
ป๋มนั่งดูด้วยความรู้สึกมึนงงกับคนทั้งคู่ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนสองคนที่รักกัน
Tell me that you love me first because I'm afraid that if I tell you first you'll think that I'm playing the game.
"บอกว่ารักฉันก่อนสิ เพราะฉันกลัวว่าถ้าฉันพูดมันออกมาก่อนเธอจะคิดว่ามันคือเกมส์"
นี่คือสิ่งที่โซเฟีย ไม่เคยบอกจูเลี่ยน หรือว่า ที่จูเลี่ยน ตะโกนบอกรักเธอ ตอนเธอนั่งอยู่บนรถเมล์ โซเฟียก้อไม่ได้ยินเช่นกัน
จนในที่สุดเกมส์ก้อร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งคู่ก็จมดิ่งสู่ความร้าวฉานทั้งที่ลึกๆทั้งคู่รักกันอย่างสุดซึ้ง
มีหลายอย่างที่การกระทำเรียกว่า ไม่มีเหตุผลเลยด้วยซ้ำ แต่ทั้งสองคนก้อยังดึงดันที่จะทำ
ผมนั่งดูด้วยความรู้สึกที่ว่า ทั้งสองคนนี้เสพติดเกมส์ที่ตัวเองคิดขึ้นมา ไม่เคยหยุดที่จะคิดถึงมันเลยด้วยซ้ำไป
จนกระทั้งคำท้าทายที่ว่า ทั้งคู่จะไม่พบกัน 10 ปี
เวลาสิบปีทั้งคู่ไม่เคยลืมกันเลย แน่นอนว่า ไม่เคยลืมเกมส์นั่นด้วย
Sophie was back in the game! Pure, raw, explosive pleasure! Better than drugs, better than smack! Better than a dope-coke-crack-fix-shit-shoot-sniff-ganja-marijuana-blotter-acid-ecstasy! Better than sex, head, 69, orgies, masturbation, tantrism, Kama Sutra or Thai doggy-style! Better than banana milkshakes! Better than George Lucas's trilogy, the muppets and 2001! Better than Emma Peel, Marilyn, Lara Croft and Cindy Crawford's beauty mark! Better than the B-side to Abbey Road, Jimmy Hendrix and the first man on the moon! Space Mountain, Santa Claus, Bill Gates' fortune, the Dalai Lama, Lazarus raised from the dead! Schwarzenegger's testosterone shots, Pam Anderson's lips! Woodstock, raves... Better than Sade, Rimbaud, Morrison and Castaneda! Better than freedom, better than life!
นี่คือความรู้สึกของจูเลี่ยน เขารอให้เธอกลับมาในเกมส์ ยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกซะอีก
ตอนจบของหนังเรื่องนี้พาป๋มอึ้งไปหลายนาที มันบีบหัวใจมากเลยนะ
นั่นคือสิ่งที่ทั้งสองคนเลือกจริงๆหรอ
แต่พอนั่งคิดต่อไปว่า ชีวิตของทั้งคนจะเป็นอย่างไรหลังจากนี้ ถ้าทั้งคู่ได้แต่งงานกัน
จะ Happy Ending เหมือนหนังรักทั่วไปรึป่าว ผมนึกไม่ออกจริงๆ
เพราะฉะนั้นนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว สำหรับทั้งสองคน
แต่มันทรมานคนดูอย่างผมซะจริงเชียว
Monday, September 3, 2007
Dust in the wind : เราผองล้วนเพียงฝุ่นผงในสายลม
I close my eyes, only for a moment, and the moment's gone
All my dreams, pass before my eyes, IN curiosity
Dust in the wind, all we are is dust in the wind
Same old song, just a drop of water in an endless sea
All we do, crumbles to the ground, though we refuse to see
Dust in the wind, All we are is dust in the wind
Don't hang on, nothing lasts forever but the earth and sky
It slips away, and all your money won't another minute buy
Dust in the wind, All we are is dust in the wind
Dust in the wind, Everything is dust in the wind
=======================================
แปะไว้ก่อนเดี๋ยวมาเขียนทีหลังนะคับ แหะๆ
Thursday, August 23, 2007
อ่านปากของฉันนะว่า....
codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab
#version=6,0,29,0" width="210" height="147">
quality="high" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"
type="application/x-shockwave-flash" bgcolor="#000000">
เคยไหมบางทีที่เธอต้องการพูดอะไรออกไป
เคยไหมบางทีคำพูดมันไม่ยอมตรงกันกับใจ
ทั้งที่พยายาม และไม่ว่าจะเตรียมตัว สักขนาดไหน
เหมือนฉัน บางทีกำลังเผชิญหน้าความเป็นจริง
และถึงแม้ข้างในพยายาม พูดออกไปให้หมดทุกสิ่ง อย่างที่ตั้งใจ
แต่มันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไหร่
เมื่อต้องพูดคำนั้น เสียงฉันมันก็หายไป
อ่านปากของฉันนะ ว่า ... อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า ...
และจะเป็นอย่างนี้กับเธอ ไม่ว่านานสักเท่าไหร่
ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ
ฉันจะเป็นอย่างนี้ จะ ... ตลอดไป
ฉันรู้ดีว่าบางที มันก็ดูเหมือนน่ารำคาญ
แต่ฉันจะพยายามที่จะพูดออกไปให้หมดทุกสิ่ง ให้หมดทั้งหัวใจ
แต่ว่ามันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไหร่
เมื่อต้องพูดคำนั้น เสียงฉันมันก็หายไป
อ่านปากของฉันนะ ว่า ... อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า ...
และจะเป็นอย่างนี้กับเธอ ไม่ว่านานสักเท่าไหร่
ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ
ฉันจะเป็นอย่างนี้ จะ ... ตลอดไป
แต่ว่ามันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไหร่
เมื่อต้องพูดคำนั้น เสียงฉันมันก็หายไป
อ่านปากของฉันนะ ว่า ... อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า ...
และจะเป็นอย่างนี้กับเธอ ไม่ว่านานสักเท่าไหร่
ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ
ฉันจะเป็นอย่างนี้ จะ ... ตลอดไป
จะย้ำด้วยคำๆ นี้ ว่ารักเธอ ไม่ยอมรักใคร
=====================
รักเธอ
โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร
#version=6,0,29,0" width="210" height="147">
quality="high" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"
type="application/x-shockwave-flash" bgcolor="#000000">
เคยไหมบางทีที่เธอต้องการพูดอะไรออกไป
เคยไหมบางทีคำพูดมันไม่ยอมตรงกันกับใจ
ทั้งที่พยายาม และไม่ว่าจะเตรียมตัว สักขนาดไหน
เหมือนฉัน บางทีกำลังเผชิญหน้าความเป็นจริง
และถึงแม้ข้างในพยายาม พูดออกไปให้หมดทุกสิ่ง อย่างที่ตั้งใจ
แต่มันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไหร่
เมื่อต้องพูดคำนั้น เสียงฉันมันก็หายไป
อ่านปากของฉันนะ ว่า ... อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า ...
และจะเป็นอย่างนี้กับเธอ ไม่ว่านานสักเท่าไหร่
ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ
ฉันจะเป็นอย่างนี้ จะ ... ตลอดไป
ฉันรู้ดีว่าบางที มันก็ดูเหมือนน่ารำคาญ
แต่ฉันจะพยายามที่จะพูดออกไปให้หมดทุกสิ่ง ให้หมดทั้งหัวใจ
แต่ว่ามันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไหร่
เมื่อต้องพูดคำนั้น เสียงฉันมันก็หายไป
อ่านปากของฉันนะ ว่า ... อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า ...
และจะเป็นอย่างนี้กับเธอ ไม่ว่านานสักเท่าไหร่
ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ
ฉันจะเป็นอย่างนี้ จะ ... ตลอดไป
แต่ว่ามันก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเปิดเผยสักเท่าไหร่
เมื่อต้องพูดคำนั้น เสียงฉันมันก็หายไป
อ่านปากของฉันนะ ว่า ... อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า ...
และจะเป็นอย่างนี้กับเธอ ไม่ว่านานสักเท่าไหร่
ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ
ฉันจะเป็นอย่างนี้ จะ ... ตลอดไป
จะย้ำด้วยคำๆ นี้ ว่ารักเธอ ไม่ยอมรักใคร
=====================
รักเธอ
โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร
คนไม่พิเศษ : Someone Not So Special
|
มีคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้ดีพร้อมทุกอย่าง
และยังเป็นคนไม่ค่อยน่าสนใจ
เขาไม่ได้ทำอะไรที่ดูมีความหมาย เป็นแค่คนหนึ่งคน
หน้าตาก็ธรรมดาค่อนข้างไม่พิเศษ
ไม่ค่อยสวยงามอย่างคนไหน
และยังเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ไม่ๆ สักอย่าง
แต่ที่คนนี้เขามีคือความรัก ความรักที่ยิ่งใหญ่
ถ้าหากว่าเขามอบให้กับใคร เขาให้ตลอดกาล
คำถามก็คือเธออยากชอบคนไม่พิเศษ
ไม่ค่อยสวยงามอยู่บ้างไหม
เพราะคนๆ หนึ่งที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
หลงรักเธอมานานแล้ว
แต่ที่คนนี้เขามีคือความรัก ความรักที่ยิ่งใหญ่
ถ้าหากว่าเขามอบให้กับใคร เขาให้ตลอดกาล
คำถามก็คือเธออยากชอบคนไม่พิเศษ
ไม่ค่อยสวยงามอยู่บ้างไหม
เพราะคนๆ หนึ่งที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
หลงรักเธอมานานแล้ว
คำถามก็คือถ้าอยากชอบคนไม่พิเศษ
ไม่ค่อยสวยงามอย่างคนไหน
เพราะมีคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
มาขอรักเธออยู่ตรงนี้
ถ้ามีคนหนึ่งที่ดูไม่ค่อยน่าสนใจ
มาขอรักเธอจะยอมไหม
=============
คนไม่พิเศษ
โต๋ ศักดิ์สิทธิ์
Friday, August 17, 2007
A Cinderella Story (2004) : ความรักของนางซินบนโลกไซเบอร์
เมื่อคืนนั่งดู A Cinderella Story (2004)
ดูไปดูมาคิดว่าหนังช่างเหมาะกับความรักบนโลกไซเบอร์มากมาย
เพราะอินเตอร์เนตเข้ามามีบทบาทกับเรื่องนี้มากเลยอ่ะคับ
จะขอแจกแจงด้วยสามประโยคที่ปรากฏในหนังนะคับ

==ป๋มเอาคำพูดมา rearrange ความคิดใหม่นะคับ ใช้คำพูดเป็น Theme ความคิด มิใช่บทหนังนะคับ ถ้าอยากรู้เรื่องทั้งหมดต้องไปดูเองนะคับ==
ประโยคแรก ซินเดอเรลล่า เธอพูดเกี่ยวกับชีวิตว่า
Sometimes, fantasies are better than reality.
บางครั้งจินตนาการมันดีกว่าชีวิตจริง
บางทีโลกที่ถูกสร้างขึ้น มันช่วยหล่อเลี้ยงใจคนได้เหมือนกันนะ
ประโยคที่สอง เธอพูดถึงความสัมพันธ์ทางอินเตอร์เนตของเธอกับเจ้าชาย
Maybe this whole relationship is just better off in cyberspace.
บางทีความสัมพันธ์ทั้งหมดให้หยุดอยู่ในไซเบอร์สเปซจะเป็นการดีกว่า
นั่นเป็นเพราะ เมื่อความสัมพันธ์มันเริ่มชัดเจนขึ้น
การแสดงตัวตนที่แท้จริง เริ่มมีปัญหา เพราะภาพของเธอที่ถูกสร้างมามันสวยงาม (ไม่ใช่ว่ามันไม่จริงเพียงแต่ว่า นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของตัวเธอ)
ในเรื่องเธอคิดว่าเธอเป็นแค่ anybody ไม่ใช่ somebody
เธอเป็นแค่ สาวเสริฟ (ทั้งที่ในความเป็นจริงเป็นลูกเจ้าของร้านที่โดนกดขี่)
แต่ว่ามันสำคัญจริงหรือป่าว เธอลืมไปรึป่าวว่าที่เค้าชอบเธอเพราะอะไร
เค้ายังไม่เคยเห็นหน้าเธอด้วยซ้ำ
ประโยคสุดท้าย เป็นประโยคที่โดนมากเป็นพิเศษ
เธอพูดใส่หน้าเจ้าชายของเธอว่า
Waiting for you is like waiting for rain in this drought, useless and disappointing.
การรอคอยคุณก้อเหมือนกับรอฝนตกหน้าแล้ง ไร้ประโยชน์และน่าผิดหวัง
จริงๆประโยคนี้นางเอกพูดกับพระเอกถึงการยอมรับตัวตน
แต่ในขณะเดียวกัน เราจะมองกลับมาว่า
การรอคอยความรักหรือเจ้าชายในฝันแบบที่เรากำลังพูดกันอยู่
บางทีมันก็ไร้ความหมายและไร้ทิศทาง
อย่าลืมว่า ที่ซินเดอเรลล่าได้พบกับเจ้าชาย ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าชายมาหาเธอที่ในครัว
หากแต่เธอไปงานเลี้ยงต่างหาก เธอมีความกล้าที่จะออกไป
ที่สุดแล้ว เธอถึงได้เจ้าชายมาครอง
ดูไปดูมาคิดว่าหนังช่างเหมาะกับความรักบนโลกไซเบอร์มากมาย
เพราะอินเตอร์เนตเข้ามามีบทบาทกับเรื่องนี้มากเลยอ่ะคับ
จะขอแจกแจงด้วยสามประโยคที่ปรากฏในหนังนะคับ

==ป๋มเอาคำพูดมา rearrange ความคิดใหม่นะคับ ใช้คำพูดเป็น Theme ความคิด มิใช่บทหนังนะคับ ถ้าอยากรู้เรื่องทั้งหมดต้องไปดูเองนะคับ==
ประโยคแรก ซินเดอเรลล่า เธอพูดเกี่ยวกับชีวิตว่า
Sometimes, fantasies are better than reality.
บางครั้งจินตนาการมันดีกว่าชีวิตจริง
บางทีโลกที่ถูกสร้างขึ้น มันช่วยหล่อเลี้ยงใจคนได้เหมือนกันนะ
ประโยคที่สอง เธอพูดถึงความสัมพันธ์ทางอินเตอร์เนตของเธอกับเจ้าชาย
Maybe this whole relationship is just better off in cyberspace.
บางทีความสัมพันธ์ทั้งหมดให้หยุดอยู่ในไซเบอร์สเปซจะเป็นการดีกว่า
นั่นเป็นเพราะ เมื่อความสัมพันธ์มันเริ่มชัดเจนขึ้น
การแสดงตัวตนที่แท้จริง เริ่มมีปัญหา เพราะภาพของเธอที่ถูกสร้างมามันสวยงาม (ไม่ใช่ว่ามันไม่จริงเพียงแต่ว่า นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของตัวเธอ)
ในเรื่องเธอคิดว่าเธอเป็นแค่ anybody ไม่ใช่ somebody
เธอเป็นแค่ สาวเสริฟ (ทั้งที่ในความเป็นจริงเป็นลูกเจ้าของร้านที่โดนกดขี่)
แต่ว่ามันสำคัญจริงหรือป่าว เธอลืมไปรึป่าวว่าที่เค้าชอบเธอเพราะอะไร
เค้ายังไม่เคยเห็นหน้าเธอด้วยซ้ำ
ประโยคสุดท้าย เป็นประโยคที่โดนมากเป็นพิเศษ
เธอพูดใส่หน้าเจ้าชายของเธอว่า
Waiting for you is like waiting for rain in this drought, useless and disappointing.
การรอคอยคุณก้อเหมือนกับรอฝนตกหน้าแล้ง ไร้ประโยชน์และน่าผิดหวัง
จริงๆประโยคนี้นางเอกพูดกับพระเอกถึงการยอมรับตัวตน
แต่ในขณะเดียวกัน เราจะมองกลับมาว่า
การรอคอยความรักหรือเจ้าชายในฝันแบบที่เรากำลังพูดกันอยู่
บางทีมันก็ไร้ความหมายและไร้ทิศทาง
อย่าลืมว่า ที่ซินเดอเรลล่าได้พบกับเจ้าชาย ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าชายมาหาเธอที่ในครัว
หากแต่เธอไปงานเลี้ยงต่างหาก เธอมีความกล้าที่จะออกไป
ที่สุดแล้ว เธอถึงได้เจ้าชายมาครอง
Tuesday, August 14, 2007
You'll Be In My Heart : ยังคงอยู่ในหัวใจ
Phil Collins
You'll Be In My Heart
Come stop your crying
It will be alright
Just take my hand
Hold it tight
I will protect you
From all around you
I will be here
Don't you cry
For one so small
You seem so strong
My arms will hold you
Keep you safe and warm
This bond between us
Can't be broken
I will be here
Don't you cry
'Cause you'll be in my heart
Yes, you'll be in my heart
From this day on
Now and forever more
You'll be in my heart
No matter what they say
You'll be here in my heart
Always
Why can't they understand
The way we feel
They just don't trust
What they can't explain
I know we're different but
Deep inside us
We're not that different at all
And you'll be in my heart
Yes, you'll be in my heart
From this day on
Now and forever more
Don't listen to them
'Cause what do they know?
We need each other
To have, to hold
They'll see in time
I know
When destiny calls you
You must be strong
I may not be with you
But you've got to hold on
They'll see in time
I know
We'll show them together
'Cause you'll be in my heart
Believe me you'll be in my heart
I'll be there from this day on
Now and forever more
Oh you'll be in my heart
No matter what they say
You'll be here in my heart
Always
Just look over your shoulder
Just look over your shoulder
Just look over your shoulder
I'll be there always
วันนึงเมื่อนานมาแล้ว ในขณะที่ฟังเพลงนี้อยู่
น้ำตามันไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว
เพลงนี้มันโดนใจ
นับจากวันนั้น จนถึงวันนี้
ในวันที่ผมอยากจะร้องให้
ในโลกที่แตกต่าง แค่มีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้าง
ไม่ต้องไปสนใจใครทั้งนั้น แค่เรามีกันและกัน
จากนี้และตลอดไป...
You'll Be In My Heart
Come stop your crying
It will be alright
Just take my hand
Hold it tight
I will protect you
From all around you
I will be here
Don't you cry
For one so small
You seem so strong
My arms will hold you
Keep you safe and warm
This bond between us
Can't be broken
I will be here
Don't you cry
'Cause you'll be in my heart
Yes, you'll be in my heart
From this day on
Now and forever more
You'll be in my heart
No matter what they say
You'll be here in my heart
Always
Why can't they understand
The way we feel
They just don't trust
What they can't explain
I know we're different but
Deep inside us
We're not that different at all
And you'll be in my heart
Yes, you'll be in my heart
From this day on
Now and forever more
Don't listen to them
'Cause what do they know?
We need each other
To have, to hold
They'll see in time
I know
When destiny calls you
You must be strong
I may not be with you
But you've got to hold on
They'll see in time
I know
We'll show them together
'Cause you'll be in my heart
Believe me you'll be in my heart
I'll be there from this day on
Now and forever more
Oh you'll be in my heart
No matter what they say
You'll be here in my heart
Always
Just look over your shoulder
Just look over your shoulder
Just look over your shoulder
I'll be there always
วันนึงเมื่อนานมาแล้ว ในขณะที่ฟังเพลงนี้อยู่
น้ำตามันไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว
เพลงนี้มันโดนใจ
นับจากวันนั้น จนถึงวันนี้
ในวันที่ผมอยากจะร้องให้
ในโลกที่แตกต่าง แค่มีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้าง
ไม่ต้องไปสนใจใครทั้งนั้น แค่เรามีกันและกัน
จากนี้และตลอดไป...

Thursday, August 9, 2007
Closer (2004) : เมื่อความรักไม่เคยพอ...When Love is Not The Answer

If you believe in love at first sight, you never stop looking.
หากคุณเชื่อในรักแรกพบ คุณก็จะไม่หยุดไขว่คว้าหามัน
Tagline จากภาพยนตร์เรื่อง Closer ครับ
หากได้ดูหนังเรื่องนี้ และเห็นฉากเปิดเรื่อง (รอโหลดวีดีโอ สักครู่นะคับ)
จะเข้าใจความหมายของ Love at first sight อย่างง่ายดาย
ตอนที่ี้ แดน เจอกับ อลิส ครั้งแรก บนถนน (พร้อมเสียงเพลงบัลลาดนุ่มๆ ของ
Damien Rice and Lisa Hannigan - The Blower's Daughter ที่มีเนื้อความว่า I can't take my eye off you ซ้ำไปมาไม่รู้กี่รอบ แต่ป๋มไม่เบื่อที่จะฟังเลย ให้ตายเหอะ)
แน่นอนว่า ต่อมาทั้งคู่ต้องรักกัน
และเมื่อได้เห็นเรื่องราวทั้งหมด
เราจะรู้ว่า
รักแรกพบ มิใช่คำตอบสุดท้าย
หากเรายังไม่รู้จักคำว่า พอ
และ ท้ายที่สุดแล้ว
ผู้ชายอย่าง แดน ก้อได้รับสิ่งที่เค้า สมควรจะได้รับ
นั่นคือ เค้าไม่เหลือใครเลย ไม่ว่าจะเป็น อลิส ที่เหมือนเป็น รักแรก(รึป่าวไม่รู้) หรือว่า แอนนา ผู้หญิงอีกคน ที่สวยและเหมาะสมกับเค้า
แดน เป็นคนที่เริ่มเกมส์ ทุกอย่าง
แต่ ขอโทษที คนจบเกมส์ ไม่ใช่เขา
และ สุดท้าย เขาก็ไม่เหลือใคร
และ ยิ่งได้เห็นตอนจบของเรื่อง
ยิ่งแอบสะใจเล็กๆ
เมื่อ อลิส เดินไปบนท้องถนน แล้วมีแต่สายตาผู้ชายหันมองเธอ (แน่นอนพร้อมกับบทเพลงเดิม ที่มีเนื้อความว่าI can't take my eye off you ซ้ำไปมา อิอิ)
ทำให้มานึกย้อนว่า
นั่นคือ รักแรกพบ ระหว่างคนสองคนจริงรึป่าว หรือว่า เธอสวยซะจนสายตาทุกคู่ ต้องหันไปมอง
หรือว่า
ที่จริงแล้ว
คำถามครับ
รักแรกพบ หรือที่เราเรียกว่า Love at first sight มันไม่เคยมีอยู่จริงกันแน่

+++++
แอบเขียนไว้นานแล้วครับ หนังตั้งแต่ปี 2004
แต่พึ่งมีโอกาสได้มาดูเมื่อไม่นานนี้เอง
จริงๆ ทุกตัวละครมีบทบาทที่น่าสนใจทุกตัวนะครับ
แต่ที่เขียนถึง ตัวละครที่ชื่อ แดน คนเดียว
เพราะ เป็นตัวที่สะดุดและสะใจกะจุดจบที่สุดครับ
สนุกดีนะคับ หนังที่เหมือนกับเรานั่งดูละครเวทีบนแผ่นฟิลม์ เก๋ดีคับ
ไม่รู้ว่าตั้งใจให้มีกลิ่นอายละครเวที หรือว่า ลบกลิ่นเวทีให้หมดไปไม่ได้กันแน่
แต่ที่รู้ๆคือ สี่คนที่มาสวมบทบาท ทำหน้าที่ได้ดีมากคับ ชอบๆ บทพูดก้อเท่ห์ซะจน ไม่รู้ว่าบางประโยคคนเดินถนนแบบเราๆจะพูดแบบนั้นรึป่าว
แต่ก้อ เฉียบขาดดีคับ ชอบๆ อิอิ
+++++

The letter : จดหมายรัก

เดอะเลตเตอร์ จดหมายรัก (2004)
ชื่ออังกฤษ The Letter
ประเภท Drama / Romance
วันที่เข้าฉาย 24 มิถุนายน 2547
กำกับโดย ผอูน จันทรศิริ
เขียนโดย คงเดช จาตุรันต์รัศมี
นำแสดงโดย
อรรถพร ธีมากร ... ต้น
แอน ทองประสม ... ดิว
สุพิชญา จุลวัฒฑะกะ ... เกด
The letter จบลง
ไม่มีน้ำตาสักหยด ไหลออกมาเลยคับ ทิชชู่เลยไ่ม่ได้ใช้เลย อิอิ
ไม่ใช่หนังไม่ดีนะคับ แต่สงสัยศรัทธาเรื่องความรักของผมคงหายไปเยอะเลยทีเดียว
ในช่วงต้นเรื่องผมรู้สีกว่า
มันไม่ใช่ความรักแบบพรหมลิขิตหากแต่ มันเป็นความรักเรียบๆง่ายๆ ธรรมดาของคนสองคน
อาจจะเรียกได้ว่า เป็นหนุ่มบ้านนากับสาวชาวกรุงคงไม่ผิดนักนะคับ

แต่เมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ
ผมนั่งดูพร้อมกับคำถามตลอดเรื่องว่า
จะมีใครสักคนรักผมได้ขนาดนี้ไหม
หรือว่า
ตัวของผมเองจะรักใครสักคนได้ขนาดนี้ไหม


สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกจริงๆกับหนังเรื่องนี้
นอกจากการแสดงอันยอดเยี่ยมของ แอน ทองประสมแล้ว
คือจดหมายตามชื่อเรื่องนั่นแหละคับ
ในช่วงเวลาที่อีกชีวิตหนึ่ง ไม่มีแม้แรงที่จะมีชีวิตต่อไป
หากแต่มีจดหมายที่ส่งมาจากคนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว
โรแมนติกนะครับ ในเวลาที่เลวร้ายที่สุด
กลับมีสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงใจ ไม่ให้มันแตกดับตามกันไป

สุดท้ายแล้ว
เวลาและชีวิตใหม่ได้ช่วยเยียวยา
ให้อีกชีวิตที่ใจแหลกสลายไปแล้วมีกำลังที่จะใช้ชีวิตต่อไป.....

วันหนึ่งคนเราก็ต้องเติบโต - When will I grow up?

บางครั้ง
คนบางคนที่หายไปนานแล้ว
ไม่นึกว่าจะได้พบอีกแล้ว
แต่ใจยังคงคิดถึงเสมอ
ก็กลับเข้ามาในชีวิต
บางครั้ง
เรามักไปแอบหลงชอบ
บางคน คนที่ไม่สมควรจะไปชอบ
เพราะเขามีเจ้าของแล้ว
แต่ใจเราก้อผูกพันธ์จนยากจะถอนตัวออกมา
บางครั้ง
เมื่อมีคนดีๆผ่านเข้ามาในชีวิต
แล้วบอกว่า ชอบเรา อย่างเปิดเผย
แต่ใจเรากลับวิ่งหนี
บางครั้ง บางขณะเวลา
เราปล่อยสิ่งดีๆผ่านไป
แล้วกลับเลือก
สิ่งที่ไม่มีตัวตน
ให้ใจมันเจ็บเล่นๆ
ชีวิตคนมันแปลกประหลาด
หรือว่า
มันชอบทำร้ายตัวเอง
ได้ยินพี่คนหนึ่งบอกว่า
ไม่มีผิดที่ ผิดเวลาหรอก แต่เวลาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์
ผมได้นั่งคิดว่า
เวลาที่สมบูรณ์ที่ว่า
อาจจะหมายถึง เวลาที่เราไม่มีใคร
เวลาที่เราจะอยู่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีใครกระมั้ง
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า
วันหนึ่ง ความคิดของผมจะเปลี่ยนไป
พร้อมกับ เวลาที่สมบูรณ์ที่จะมาถึง
ป้ายกำกับ:
All the colourful thought in life
Friday, February 23, 2007
โรงเรียนประจำ เพื่อนคนแรก เซนต์เซย่าและดราก้อนบอล - Broading School, First Friend, Saint Seiya and Dragon Ball (TAG)
ได้รับ Tag ให้พูดถึงเรื่องราวในชีวิต 5 เรื่องจากเพื่อนที่ผมก็รู้ว่าใคร เหอๆๆๆ
จะค่อยๆเขียนนะครับ อยากจะลำดับเรื่องราวตั้งแต่เด็กขึ้นมานะครับ
เริ่มเลยนะครับ

เรื่องที่ 1 โรงเรียนประจำ เพื่อนคนแรก เซนต์เซย่าและดราก้อนบอล
เมื่อสมัยยังเล็กเป็นเด็กน้อยผมได้ย้ายโรงเรียนสองครั้งเนื่องจากคุณพ่อของผมต้องย้ายบ่อยตามประสาอาชีพรับราชการ
สาเหตุที่ผมต้องจำเป็นไปเรียนประจำนั้น อย่างแรกเลยคือเนื่องจากการเดินทางบ่อยๆของพ่อผมในเวลานั้น
ประเด็นถัดมาคือ เนื่องจากคุณแม่ของผม ประทับใจคนๆนึงมากซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเขาเป็นใคร รู้แต่ว่า ผู้ชายคนนี้เนี้ยบมาก ทุกกระเบียดนิ้ว แม่ผมเล่าว่า ขนาดกางเกงในพี่แกยังรีดเลย (น่ากลัวมากๆ)แต่ตอนนี้แม่ผมคงเสียใจน่าดูเพราะลูกชายคนนี้ ซกหมกและไม่มีระเบียบเอาซะเลย ให้ตายเหอะ แต่อยากไรก็ตามการไปอยู่โรงเรียนประจำของผมไม่เคยน่าเบื่อเลยและไม่ทำให้ผมเคยรู้สึกขาดเลย(ถึงแม้ว่าอาจจะมีแอบ เหงาและ เศร้าบ้าง)
เข้าเรื่องเลยดีกว่า
ผมยังจำวันแรกที่ไปโรงเรียนประจำทั้งสองที่ได้เลย
ภาพแรกของที่แรกมันรางเลือนมากๆ จำได้แค่ว่า แม่ผมเตรียมเสื่อผ้าไปหลายชุดมากเลยแต่ไม่สามารถให้ผมใช้ได้เนื่องจาก ที่นี่เค้ามีชุดสำหรับนักเรียนประจำ จำได้ว่ามันเหมือนชุดนักเรียนมาก ต่างกันแค่สีเสื้อ (นี่ยังดีนะครับ อีกที่นึงต่อมา ชุดเหมือนเด็กตามสถานสงเคราะห์มาก เหอๆๆ)อ้อ อย่าพึ่งไปคิดนะครับว่าผมไปอยู่โรงเรียนหรูๆ ไม่ใช่นะครับ โรงเรียนธรรมดานี่แหละ
โรงเรียนแรกนี้เป็นโรงเรียนคริสต์ครับ ความทรงจำเรื่องเพื่อนที่นี่มันแทบไม่มีเลย อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นผมเด็กมากๆ
ความทรงจำในที่แห่งนี้ อบอวลไปด้วยความสนุกแบบเด็กๆและจินตนาการ จำได้ว่าผมมีกลุ่มเพื่อนที่สนุกมากๆ มีพี่คนนึงชอบการแสดงมากๆ ชอบกำกับละคร ผมได้ไปเล่นละครของแกบ่อยๆ แกจะชอบเล่นเป็นผุ้กำกับ มีเพื่อนๆร่วมเล่นมากมาย เรื่องนึงที่จำได้คือ ไซอิ่ว จำได้ว่าไปแสดงหลังเวทีโรงเรียน สนุกมากเลย มีคนอื่นมาดูก็ขำๆกัน จะว่าไปหน้าเวทีผมก็ได้แสดงบ่อยๆ ตอนเด็กๆมักไม่คิดอะไร ใครให้แสดงอะไรก็ทำตามที่บอก พอโตขึ้นมาผมกลับเป็นคนขี้อายมากเลย พอจะให้แสดงอะไรแบบนี้ผมจะหนีลูกเดียวเลย
อีกอย่างที่จำได้คือเพื่อนคนนึงครับ ตัวเล็กๆ ชอบเดินตามผมต้อยๆ เขาจะขำๆนิดนึง พูดจาหน่อๆหน่อย แต่ผมกลับชอบจะอยุ่กับเขาเพราะดูไม่มีพิษมีภัยดี
อ้อ ตอนที่ผมเรียนที่นี่ผมชอบเวลาที่ต้องไปโบสถ์มากเลยครับไม่รู้ทำไม แล้วอีกคนที่ผมจำได้ดีคือ ซิสเตอร์ท่านนึงครับ ท่านเคยบอกว่าแม่ผมครั้งหนึ่งว่า เด็กอย่างผมเนี่ย เลี้ยงยาก เลี้ยงให้ดีก็ดีไปเลย เลี้ยงไม่ดีระวังจะเสียคน โห ผมชอบนะ ซิสเตอร์พูดแบบนี้ ดูเราไม่เหมือนใครดี ฮ่าๆๆๆ ตอนนั้นผมดื้อนะ แต่เป็นดื้อแบบเงียบๆ เก็บความคิดที่สงสัยไว้ในใจตลอด มีอยู่วันนึงขณะที่เราสวดมนตร์อยู่ในโบสถ์ แล้วผมง่วงมากจำได้ว่า ซิสเตอร์หยิกผม เจ็บมากเลย ท่าจะเจ็บจริงๆ เพราะว่าผมจำได้ถึงเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่ผมไม่เคยลืมเลยถึงแม้ว่าผมจะจำหน้าแกไม่ได้แล้ว ซิสเตอร์คนนี้ก็คอยดูแลผมอย่างดีทุกเรื่อง คอยบอกผมเสมอว่าผมต้องทำตัวอย่างไร ผมรักซิสเตอร์มากเลย ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะอยู่ที่ไหนผมเชื่อว่า ท่านจะได้รับการคุ้มครองและมีความสุขในที่งดงามแน่ๆเลยครับ
ต่อมาโรงเรียนที่สองนะครับ ที่นี่แตกต่างจากโรงเรียนแรกอย่างสิ้นเชิง เป็นโรงเรียนมีชื่อประจำจังหวัดนั้นเลยนะครับ แต่คุณภาพชีวิตผิดกันมา ฮ่าๆๆๆๆ แต่เชื่อเถอะ มีเรื่องราวที่ดีมากมายเกิดขึ้นที่นี่ to be continued...
(ป.ล.ยังไปไม่ถึงไหนเลย เหอๆๆ พอจะเขียนแล้วภาพความทรงจำมันออกมาไม่หยุดหย่อนเลยต้องพักเพื่อลำดับเรื่องราวขอสักครู่นะครับ)
จะค่อยๆเขียนนะครับ อยากจะลำดับเรื่องราวตั้งแต่เด็กขึ้นมานะครับ
เริ่มเลยนะครับ

เรื่องที่ 1 โรงเรียนประจำ เพื่อนคนแรก เซนต์เซย่าและดราก้อนบอล
เมื่อสมัยยังเล็กเป็นเด็กน้อยผมได้ย้ายโรงเรียนสองครั้งเนื่องจากคุณพ่อของผมต้องย้ายบ่อยตามประสาอาชีพรับราชการ
สาเหตุที่ผมต้องจำเป็นไปเรียนประจำนั้น อย่างแรกเลยคือเนื่องจากการเดินทางบ่อยๆของพ่อผมในเวลานั้น
ประเด็นถัดมาคือ เนื่องจากคุณแม่ของผม ประทับใจคนๆนึงมากซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเขาเป็นใคร รู้แต่ว่า ผู้ชายคนนี้เนี้ยบมาก ทุกกระเบียดนิ้ว แม่ผมเล่าว่า ขนาดกางเกงในพี่แกยังรีดเลย (น่ากลัวมากๆ)แต่ตอนนี้แม่ผมคงเสียใจน่าดูเพราะลูกชายคนนี้ ซกหมกและไม่มีระเบียบเอาซะเลย ให้ตายเหอะ แต่อยากไรก็ตามการไปอยู่โรงเรียนประจำของผมไม่เคยน่าเบื่อเลยและไม่ทำให้ผมเคยรู้สึกขาดเลย(ถึงแม้ว่าอาจจะมีแอบ เหงาและ เศร้าบ้าง)
เข้าเรื่องเลยดีกว่า
ผมยังจำวันแรกที่ไปโรงเรียนประจำทั้งสองที่ได้เลย
ภาพแรกของที่แรกมันรางเลือนมากๆ จำได้แค่ว่า แม่ผมเตรียมเสื่อผ้าไปหลายชุดมากเลยแต่ไม่สามารถให้ผมใช้ได้เนื่องจาก ที่นี่เค้ามีชุดสำหรับนักเรียนประจำ จำได้ว่ามันเหมือนชุดนักเรียนมาก ต่างกันแค่สีเสื้อ (นี่ยังดีนะครับ อีกที่นึงต่อมา ชุดเหมือนเด็กตามสถานสงเคราะห์มาก เหอๆๆ)อ้อ อย่าพึ่งไปคิดนะครับว่าผมไปอยู่โรงเรียนหรูๆ ไม่ใช่นะครับ โรงเรียนธรรมดานี่แหละ
โรงเรียนแรกนี้เป็นโรงเรียนคริสต์ครับ ความทรงจำเรื่องเพื่อนที่นี่มันแทบไม่มีเลย อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นผมเด็กมากๆ
ความทรงจำในที่แห่งนี้ อบอวลไปด้วยความสนุกแบบเด็กๆและจินตนาการ จำได้ว่าผมมีกลุ่มเพื่อนที่สนุกมากๆ มีพี่คนนึงชอบการแสดงมากๆ ชอบกำกับละคร ผมได้ไปเล่นละครของแกบ่อยๆ แกจะชอบเล่นเป็นผุ้กำกับ มีเพื่อนๆร่วมเล่นมากมาย เรื่องนึงที่จำได้คือ ไซอิ่ว จำได้ว่าไปแสดงหลังเวทีโรงเรียน สนุกมากเลย มีคนอื่นมาดูก็ขำๆกัน จะว่าไปหน้าเวทีผมก็ได้แสดงบ่อยๆ ตอนเด็กๆมักไม่คิดอะไร ใครให้แสดงอะไรก็ทำตามที่บอก พอโตขึ้นมาผมกลับเป็นคนขี้อายมากเลย พอจะให้แสดงอะไรแบบนี้ผมจะหนีลูกเดียวเลย
อีกอย่างที่จำได้คือเพื่อนคนนึงครับ ตัวเล็กๆ ชอบเดินตามผมต้อยๆ เขาจะขำๆนิดนึง พูดจาหน่อๆหน่อย แต่ผมกลับชอบจะอยุ่กับเขาเพราะดูไม่มีพิษมีภัยดี
อ้อ ตอนที่ผมเรียนที่นี่ผมชอบเวลาที่ต้องไปโบสถ์มากเลยครับไม่รู้ทำไม แล้วอีกคนที่ผมจำได้ดีคือ ซิสเตอร์ท่านนึงครับ ท่านเคยบอกว่าแม่ผมครั้งหนึ่งว่า เด็กอย่างผมเนี่ย เลี้ยงยาก เลี้ยงให้ดีก็ดีไปเลย เลี้ยงไม่ดีระวังจะเสียคน โห ผมชอบนะ ซิสเตอร์พูดแบบนี้ ดูเราไม่เหมือนใครดี ฮ่าๆๆๆ ตอนนั้นผมดื้อนะ แต่เป็นดื้อแบบเงียบๆ เก็บความคิดที่สงสัยไว้ในใจตลอด มีอยู่วันนึงขณะที่เราสวดมนตร์อยู่ในโบสถ์ แล้วผมง่วงมากจำได้ว่า ซิสเตอร์หยิกผม เจ็บมากเลย ท่าจะเจ็บจริงๆ เพราะว่าผมจำได้ถึงเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่ผมไม่เคยลืมเลยถึงแม้ว่าผมจะจำหน้าแกไม่ได้แล้ว ซิสเตอร์คนนี้ก็คอยดูแลผมอย่างดีทุกเรื่อง คอยบอกผมเสมอว่าผมต้องทำตัวอย่างไร ผมรักซิสเตอร์มากเลย ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะอยู่ที่ไหนผมเชื่อว่า ท่านจะได้รับการคุ้มครองและมีความสุขในที่งดงามแน่ๆเลยครับ
ต่อมาโรงเรียนที่สองนะครับ ที่นี่แตกต่างจากโรงเรียนแรกอย่างสิ้นเชิง เป็นโรงเรียนมีชื่อประจำจังหวัดนั้นเลยนะครับ แต่คุณภาพชีวิตผิดกันมา ฮ่าๆๆๆๆ แต่เชื่อเถอะ มีเรื่องราวที่ดีมากมายเกิดขึ้นที่นี่ to be continued...
(ป.ล.ยังไปไม่ถึงไหนเลย เหอๆๆ พอจะเขียนแล้วภาพความทรงจำมันออกมาไม่หยุดหย่อนเลยต้องพักเพื่อลำดับเรื่องราวขอสักครู่นะครับ)
Thursday, February 15, 2007
วันที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสี - When the sky changes its colours

ขณะนี้เวลาตีสี่กว่าๆ
ดึกมากๆ แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงนอนไม่หลับ
พรุ่งนี้ต้องไปทำงาน
เวลานี้เป็นเวลาที่ผมต้องนอนขดตัวอย่างสบายอยู่ในผ้าห่ม
มันเหมือนกับว่ามีเรื่องที่ต้องคิดมากมายอยู่ในหัวของผม
แต่น่าแปลกที่ผมกลับพบว่า มันว่างเปล่า
ตอนนี้เหมือนมีเรื่องให้คิดมากมาย
แต่กลับไม่มีอะไรเลย
เมื่อกี้นี้เอง ผมลองออนเอ็มดู ไม่รู้เหมือนกันจะออนทำไมเวลานี้
เวลาที่ไม่มีใครแน่นอน ผมคิดเช่นนั้น
แต่เปล่าเลย
ผมเจอใครคนนึง เพื่อนคนไกลของผม
เพื่อนคนที่ผมเคยคิดถึงที่สุด
เพื่อนคนที่ผมเคยแอบยิ้มเวลามองเค้า
เพื่อนคนที่ผมเคยคิดถึง ทุกครั้งที่ผมสุขใจ หรือ เศร้าใจ
เพื่อนคนที่ผมแอบมองเค้ามาตั้งหก เจ็ดปี
เพื่อนคนไกลของผม
คิดถึง คิดถึงมาก คิดถึงที่สุด
ผมเคยบอกตัวเองแบบนั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา
อยู่ๆก็เหมือนกับว่า
เราเลิกคิดถึงกัน
ไม่ว่าด้วยเหตุผลของระยะทาง
หรืออะไรก็ตาม แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว
ผมค่อยๆรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างเงียบๆ
แรกๆ ใจของผมเหมือนยังไม่ค่อยยอมรับยอมรับเท่าไหร่
แต่เมื่อยิ่งเพ่งคิด พิจารณาเรื่องราวต่าง
แล้วผมก็พบว่า
ไม่เฉพาะตัวเค้าเองที่เปลี่ยน
ใจผมเองก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ทีละน้อย ทีละน้อย
ทั้งๆที่ยังไม่มีใครมาเติมเต็ม
แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเศร้าใจ
กับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เลย
แต่มันกลับเป็นความรู้สึกยอมรับซะมากกว่า
ยอมรับความจริงที่ว่า
ไม่มีเค้าอยู่ข้างๆใจผมอีกต่อไปแล้ว
หรือว่า แท้ที่จริงแล้ว
มันไม่มีตั้งแต่แรกกัน
ความรู้สึกที่ผมเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอมา
แท้ที่จริงมันคืออะไรกันแน่
ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้
แต่ตอนนี้ เวลานี้
มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจก็คือ
เรื่องราวระหว่างเรา มันเปลี่ยนไปแล้ว
แต่ชีวิตของผมยังคงต้อง ดำเนินต่อไป
ผมศรัทธาในวันใหม่เสมอครับ
ขอให้ผมและเขาโชคดี
เขียนเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เวลาตีสี่กว่า
ป้ายกำกับ:
All the colourful thought in life
Wednesday, February 7, 2007
เด็กชายกับห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ - Being and Endless Time


เรื่องมันเริ่มขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง
ขณะไปเดินเล่นกับเพื่อนคนหนึ่ง
เห็นโปสเตอร์แผ่นหนึ่งเขียนว่า
"ฉลองครบรอบสิบปี การ์ตูนเรื่องโคนัน"
อาจจะเหมือนธรรมดา
แต่ผมตกใจมากนะ
เฮ้ยย โคนันนี่สิบปีแล้วหรอ
ทำไมกรู ไม่รู้สึกเลยว่ะ
บอกตรงๆ นึกมาตลอดว่า
4-5 ปีเท่านั้น
เพื่อนผมหัวเราะ
แล้วก็บอกว่า
เออดิ มันตั้งแต่เราอยู่ ม.ปลายแล้วนะ
ผมก้อคิดแปบนึง
เออ จริงด้วยอ่ะ
ทำไมกรูไม่เคยรู้สึกเลยเนี่ย
ผมบอกเพื่อนไป
แต่ในใจผมกลับคิดคำนึง
ตั้งแต่อายุ 26 มามันเหมือนกับว่า
เฮ้ยยย นี่กรูโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่หว่า
ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกหรือ สำเนียกได้เลย
เฮ้ยยย นี่กรูจะ 30 แล้วหรอ
เหลืออีกแค่ไม่กี่ปีเอง
จะว่าไป จะมองว่าเหลืออีกตั้งหลายปีก็คงได้
หากแต่ ช่วงนี้ผมกลับรู้สึก
และพบว่าเวลามันไหลไปไม่หยุดเลย
มันเหมือนกับพริบตาเดียว
เรามาไกลขนาดนี้เลยหรือ
สิ่งที่ผมเรียนรู้ในขณะนี้ก็คือ
เราทั้งหลายก็เพียงเศษเสี้ยวเดียวของกาลเวลาที่เป็นอนันต์

เมื่อก่อนสมัยที่เป็นเด็กกว่านี้
ผมไม่เคยรู้เลยว่า
เวลามันช่างมีค่ามากขนาดนี้
ผมปล่อยให้เวลาไหลไป ไหลไป ไหลไป แล้วก็ไหลไป
อย่างไม่หยุด
ตอนที่เป็นเด็กผมมักจะมีโอกาสเสมอ
โอกาสเรียนรู้ โอกาสสร้างสรรค์
โอกาสผิดพลาด
โอกาสเริ่มต้นใหม่
ผมมีเวลาเสมอ
"เมื่อไหร่ก็ได้น่า มีเวลาเหลือเฟือ"
นี่คือคำพูดติดปากของผม

และเวลาในขณะนั้น
ผมไม่เคยเข้าใจเลย
เวลาที่ผมดูหนังหรือการ์ตูน
ผมมักจะพบว่า
ความฝันอันสูงสุดของบรรดาตัวร้ายทั้งหลาย
คือ การมีชีวิตนิรันดร์
จะเป็น อมตะ ไปทำไม
ผมไม่เคยเข้าใจเลย
ในเมื่อคนรอบตัวเราก็ต้องตายไปหมด
เวลานั้น เราจะเหลือใคร
ผมมองว่า การเป็นอมตะ นี่เป็นความเศร้าที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
เพราะว่า คุณจะต้องนั่งมองคนในครอบครัวของคุณ
คนที่คุณรัก ค่อยๆหายไปจากชีวิต ทีละคน ทีละคน
และอย่างน้อยที่สุด คุณจะพบกับใครสักคน
จะมีช่วงเวลาที่มีความสุข หรือความทุกข์ก็ตาม
แต่สุดท้ายก็จะกลับมาโดดเดี่ยวอีก
มันน่าเศร้านะ
แน่นอนว่า ตอนนี้ผมก็ยังคิดเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
หากแต่ผมมองตัวร้ายที่ต้องการชีวิตอมตะ
ด้วยสายตาที่เข้าใจมากขึ้น
และขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้
อยู่ๆก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจแบบฉับพลัน
ว่า
"นี่เป็นอาการของการกลัวความแก่ รึเปล่า"
"ไม่ใช่นะ" ผมตอบตัวเอง
ผมเพียงแค่รู้สึกว่า
ผมมีสิ่งที่อยากทำมากมายเต็มไปหมด
แต่บางอย่าง
มันผ่านและสายเกินไปเสียแล้ว
เฮ่อ นี่เอง
ที่เวลาตอนเด็กๆ เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่า
มัวแต่ปล่อยให้เวลาผ่านไป
จะมานั่งเสียใจทีหลัง
ตอนนั้นที่ฟัง
ก็ไม่ได้เคยคิดตามเลย
พอถึงตอนนี้
ผมกลับต้องพูดคำนี้ ประโยคนี้
กับคนอื่นแทนซะมั้ง หึหึหึ
นี่แหละชีวิต
หากแต่นอกจากที่จะมีคนพูดว่า
เวลาและวารี ไม่เคยรอใคร
เราเองก็ยังเคยได้ยินคำพูดที่ว่า
ไม่เคยมีอะไรสายสำหรับ การเริ่มต้น เช่นกัน
แม้ว่ายังมีบางอย่างที่ผมไม่สามารถเรียกคืน หรือทำได้แล้ว
แน่นอน ยังมีสิ่งที่รอให้ผมทำอยู่มากมาย
ผมบอกตัวเองอย่างนั้น


ป้ายกำกับ:
All the colourful thought in life
Monday, February 5, 2007
บทเพลงของแกะน้อย - My song
สืบเนื่องจากนายอะคิตะ สหายจากบอร์ดหนังส่งต่อมาให้ หลังจากผลัดมาวันแล้วในที่สุดก็ได้เวลาซะที
กติกาคือให้เปิดเพลงจากโปรแกรมใดก็ได้
แล้วนำบทเพลงมาสอดเข้าชีวิตของตัวเอง
เริ่มเลยล่ะกัน
James Blunt - You're Beautiful

เพลงนี้ทำให้นึกถึงใครบางคนขึ้นมาจากบทสรุปของเพลง
It's time to face the truth,
I will never be with you.
IL DIVO - All By Myself

All by myself
Don't wanna be
All by myself
Anymore
ช่างเหมือนชีวิตตัวเองช่วงที่ผ่านมา วิ่งวุ่นไปทั่ว
แต่ตอนนี้ พักใจแล้วครับ
ป๊อด โมเดิร์นด๊อก (Modern Dog)เพลงประกอบโฆษณา "One 2 Call" - ระวังหมดอายุ

Free your mind Free your soul
ความฝันไม่เคยรอใคร อย่าปล่อยให้เวลาของเราหมดไป
ตอนที่ฟังเพลงนี้ครั้งแรก โดนเลย
ปล่อยชีวิตมานานมากแล้ว คงถึงเวลาทำอะไรจริงจังซะที
ต่อไปนี้จะเลิกโลเลและรอเวลาแล้ว
ไม่งั้นคงหมดอายุเข้าสักวัน
Same Same Feat.อาภาพร - Farang Ja

เพลงนี้ช่างขำได้ใจด้วยเสียงของเจ้ อาภาพร
เนื้อหาเพลงช่างไม่มีไรสอดคล้องกัน ออกแนว Threesome นิดๆ
แต่น่ารักดี
อุ้บบบ... อยากกินฝรั่ง ฮ่าๆๆ
BLACK EYED PEAS - DON'T LIE

Nononono baby, nononono don't lie
ฮืมมม ยังจับไม่ได้ ก็แล้วไปนะน้อง
แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง
คงต้องพูดกันยาว
Michael Buble - Home

Maybe surrounded by
A million people I
Still feel all alone
I just wanna go home
Oh I miss you, you know
ถึงแม้จะแวดล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย
บางเวลาก็ยังเหงาอยู่ดี
เมื่อไรจะมีใครสักคนสักที รอนานแล้วนะ
โก้ เศกพล อุ่นสำราญ Mr.Saxman - ภาวนา

"เพราะว่าห่างเหลือเกิน เพราะฉันอยู่แสนไกล บอกตรงๆหัวใจฉันยังหวั่น"
ฟังทุกวันจนใจมันชินซะแล้ว
ขอให้โชคดีนะ
EMINEM - LOSE YOURSELF

Look, if you had one shot, or one opportunity
To seize everything you ever wanted-One moment
Would you capture it or just let it slip?
Yo
การตัดสินใจของผมใกล้เข้ามาแล้ว
ถึงจะไม่ยิ่งใหญ่แต่จะลองดู
บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว - อยากขอสักคน (I Need Somebody)

"คนที่โทรผิดมาเมื่อวานตอนเช้า
คนที่นั่งกินข้าวติดกันเมื่อคืน
คนที่ยิ้มให้กันตรงหน้าปากซอย
ใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า
แล้วทำไมตัวเราถึงยังไม่เห็นมีใคร
แล้วต้องทนเดียวดายในใจเอาไว้ทำไม
ไม่ได้ใช้งาน ไม่ได้รักใคร ไม่มีกำลังใจที่ไหนเลย
อยากมีคนอยู่ข้างกาย สบตากัน ให้หัวใจมันเต้นแรง
เก็บไว้คิดถึงกัน เก็บไว้คิดถึงกัน"
เพลงบอกทุกอย่างไปแล้วอ่ะคับ
อยากมีบางคนสักที เฮ่อออ
SARAH BRIGHTMAN - MEMORY

Touch me, It's so easy to leave me
All alone with my memory
Of my days in the sun
If you touch me
You'll understand what happiness is
Look a new day has begun...
เพลงนี้อารมณ์แก่ๆนิดนึง
แต่มันเพราะอ่ะ ชอบๆๆ
ต่อไปนี้คงต้องลบความทรงจำที่ไม่ดีทั้งหมดไป
แล้วคงต้องเริ่มวันใหม่ได้แล้วซะที
ทำไมเขียนไปเขียนไปเขียนมา อารมณ์มันเหมือนเดิม เศร้าๆ เหงาๆ ชอบกล
แล้วจะมาเขียนต่อ ภาคสอง แล้วกันนะ
อ้อ ยังไม่รู้เลยว่าจะส่งต่อให้ใครดี
เอาเป็นว่าใครได้เข้ามาอ่าน
แล้วอยากเขียนบ้าง ก็เชิญเลยนะครับ
แล้วอย่าลืมมาบอกกันบ้าง
จะตามไปอ่าน
กติกาคือให้เปิดเพลงจากโปรแกรมใดก็ได้
แล้วนำบทเพลงมาสอดเข้าชีวิตของตัวเอง
เริ่มเลยล่ะกัน
James Blunt - You're Beautiful

เพลงนี้ทำให้นึกถึงใครบางคนขึ้นมาจากบทสรุปของเพลง
It's time to face the truth,
I will never be with you.
IL DIVO - All By Myself

All by myself
Don't wanna be
All by myself
Anymore
ช่างเหมือนชีวิตตัวเองช่วงที่ผ่านมา วิ่งวุ่นไปทั่ว
แต่ตอนนี้ พักใจแล้วครับ
ป๊อด โมเดิร์นด๊อก (Modern Dog)เพลงประกอบโฆษณา "One 2 Call" - ระวังหมดอายุ

Free your mind Free your soul
ความฝันไม่เคยรอใคร อย่าปล่อยให้เวลาของเราหมดไป
ตอนที่ฟังเพลงนี้ครั้งแรก โดนเลย
ปล่อยชีวิตมานานมากแล้ว คงถึงเวลาทำอะไรจริงจังซะที
ต่อไปนี้จะเลิกโลเลและรอเวลาแล้ว
ไม่งั้นคงหมดอายุเข้าสักวัน
Same Same Feat.อาภาพร - Farang Ja

เพลงนี้ช่างขำได้ใจด้วยเสียงของเจ้ อาภาพร
เนื้อหาเพลงช่างไม่มีไรสอดคล้องกัน ออกแนว Threesome นิดๆ
แต่น่ารักดี
อุ้บบบ... อยากกินฝรั่ง ฮ่าๆๆ
BLACK EYED PEAS - DON'T LIE

Nononono baby, nononono don't lie
ฮืมมม ยังจับไม่ได้ ก็แล้วไปนะน้อง
แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง
คงต้องพูดกันยาว
Michael Buble - Home

Maybe surrounded by
A million people I
Still feel all alone
I just wanna go home
Oh I miss you, you know
ถึงแม้จะแวดล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย
บางเวลาก็ยังเหงาอยู่ดี
เมื่อไรจะมีใครสักคนสักที รอนานแล้วนะ
โก้ เศกพล อุ่นสำราญ Mr.Saxman - ภาวนา

"เพราะว่าห่างเหลือเกิน เพราะฉันอยู่แสนไกล บอกตรงๆหัวใจฉันยังหวั่น"
ฟังทุกวันจนใจมันชินซะแล้ว
ขอให้โชคดีนะ
EMINEM - LOSE YOURSELF

Look, if you had one shot, or one opportunity
To seize everything you ever wanted-One moment
Would you capture it or just let it slip?
Yo
การตัดสินใจของผมใกล้เข้ามาแล้ว
ถึงจะไม่ยิ่งใหญ่แต่จะลองดู
บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว - อยากขอสักคน (I Need Somebody)

"คนที่โทรผิดมาเมื่อวานตอนเช้า
คนที่นั่งกินข้าวติดกันเมื่อคืน
คนที่ยิ้มให้กันตรงหน้าปากซอย
ใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า
แล้วทำไมตัวเราถึงยังไม่เห็นมีใคร
แล้วต้องทนเดียวดายในใจเอาไว้ทำไม
ไม่ได้ใช้งาน ไม่ได้รักใคร ไม่มีกำลังใจที่ไหนเลย
อยากมีคนอยู่ข้างกาย สบตากัน ให้หัวใจมันเต้นแรง
เก็บไว้คิดถึงกัน เก็บไว้คิดถึงกัน"
เพลงบอกทุกอย่างไปแล้วอ่ะคับ
อยากมีบางคนสักที เฮ่อออ
SARAH BRIGHTMAN - MEMORY

Touch me, It's so easy to leave me
All alone with my memory
Of my days in the sun
If you touch me
You'll understand what happiness is
Look a new day has begun...
เพลงนี้อารมณ์แก่ๆนิดนึง
แต่มันเพราะอ่ะ ชอบๆๆ
ต่อไปนี้คงต้องลบความทรงจำที่ไม่ดีทั้งหมดไป
แล้วคงต้องเริ่มวันใหม่ได้แล้วซะที
ทำไมเขียนไปเขียนไปเขียนมา อารมณ์มันเหมือนเดิม เศร้าๆ เหงาๆ ชอบกล
แล้วจะมาเขียนต่อ ภาคสอง แล้วกันนะ
อ้อ ยังไม่รู้เลยว่าจะส่งต่อให้ใครดี
เอาเป็นว่าใครได้เข้ามาอ่าน
แล้วอยากเขียนบ้าง ก็เชิญเลยนะครับ
แล้วอย่าลืมมาบอกกันบ้าง
จะตามไปอ่าน
Thursday, January 4, 2007
Seasons Change - My favorite film of the year 2006

ดนตรี หรือ ความรัก
ร็อค หรือ คลาสสิค
รักครั้งแรก หรือ เพื่อนสนิท
ปล่อยวาง หรือ เล่นของสูง
...
ทางแยกที่คุณต้องเลือก
"เพราะอากาศมันชอบแปรปรวน
หัวใจก็เลยชอบปรวนแปร
SEASONS CHANGE เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย"
รายชื่อทีมงานสร้าง SEASONS CHANGE
อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร: ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม บุษบา ดาวเรือง วิสูตร พูลวรลักษณ์
จินา โอสถศิลป์ ชาลอต โทณวณิก วสันต์ ภัยหลีกลี้
อำนวยการสร้าง: จิระ มะลิกุล, ประเสริฐ วิวัฒนานนท์พงษ์, เช่นชนนี สุนทรศารทูล, ยงยุทธ ทองกองทุน, สุวิมล เตชะสุปินัน
บทภาพยนตร์: อมราพร แผ่นดินทอง, นิธิวัฒน์ ธราธร,
กำกับภาพยนตร์: นิธิวัฒน์ ธราธร



เกิดคำถามขึ้นในใจผมว่า ทำไมหนังที่กรูชอบมากปีนี้เป็นหนังไทยว่ะ
ไม่รู้ทำไมไอ้หนังธรรมดามากๆ แบบนี้ถึงโดนใจผมมากก้อไม่รู้นะ
ผมไปดูหนังเรื่องนี้ในวันธรรมดาครับ แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่...
ผมไปด้วยอารมณ์ที่เซ็งที่สุด เป็นมาสองวันแล้วนับจากเมื่อวาน(เวลาในขณะนั้น)
(ขอเท้าความนิดนึง เวลาผมเซ็งจัดชอบเข้าโรงหนังครับ
บางทีไม่มีไรทำก็ไปนั่งหลับ ก็ไม่เป็นไรนะครับไม่ว่ากันถือว่าไปผ่อนคลาย)
เมื่อวานก่อนหน้านั้นก็ไปดูมาแล้วเรื่องนึง หนังตลกครับ แต่ดันไม่รู้สึกตลกเลย
สงสัยเซ็งจัด เบื่องานโว้ย อารมณ์นั้น ฮ่าๆ
ตอนที่ดูในขณะนั้นมันไม่รู้จะดูอะไรแล้วครับ เพราะไม่คิดอยากจะดูเลย
แต่ได้เครดิตว่าหนึ่งในผุ้กำกับแฟนฉันก็โดนใจเล็กน้อยถึงปานกลาง
(ผู้กำกับกลุ่มนี้ผมว่าเป็นคลื่นลุกใหม่ที่น่าสนใจและเป็นความหวังเลยทีเดียว
สำหรับวงการหนังไทยที่หลงไปไหนสุดกู่ก็ไม่รู้ อิอิอิ)
แต่อารมณ์ในขณะนั้น ก็อารามเบื่อกะไอ้เครดิตเล็กน้อยว่า "เอ เค้าจะหากินกันด้วยประโยคนี้อีกนานไหม"
(เหอๆๆๆ ช่วงนั้นพาลไปหมด แต่เอาว่ะ ฉุกคิดขึ้นมาได้เรื่อง เด็กหอ กรุก็ชอบนี่หว่า)
โอ้โห้ แต่ในขณะที่ดูนะคับ ผมนั่งยิ้มตลอดเลย อมยิ้มทั้งเรื่อง โอ้ยยย ทำไมมันน่ารักขนาดนี้ว่ะ
มันพอดีไปหมดเลย ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ทุกองค์ประกอบของหนัง ทั้งภาพที่สวยงาม ดนตรีที่ไพเราะ อารมณ์ขันที่มีระดับ และที่สำคัญ เนื้อหาที่โดนใจ
โดยส่วนตัวผมเข้าใจว่าธีมของหนังแบ่งเป็นสี่ประเด็นหลักครับ : ทางแยกที่คุณต้องเลือก

1. ดนตรี หรือ ความรัก
จะเห็นว่าตั้งแต่แรกเลย ป้อม เลือกที่จะเดินทางมาในเส้นทางสายนี้ไม่ได้มาเพราะดนตรีเลย มาเพราะความรักครับ เนื่องจากแอบหลงรักผู้หญิงคนนึงมานานแล้ว แต่ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปคุยด้วย เธอชื่อ ดาว และดาวไม่เคยรู้เลยว่ามีคนคอยแอบมองเธออยู่ห่างๆมานาน ดาวเลือกที่จะเรียนต่อที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อป้อมได้รู้ข่าว ป้อมตัดสินใจทันทีที่จะไปเรียนต่อที่เดียวกัน จนได้ค้นพบพรสวรรค์ด้านการ ตีกลองชุดของตัวเอง (ถือว่าเป็นโชคดีของป้อมนะครับ)ในขณะที่พ่อของป้อมเข้าใจว่าลูกชายไปเรียนที่มหิดล ในสาขาเตรียมแพทย์ศาสตร์ โดยที่ป้อมเองก็ไม่กล้าบอกพ่อว่าตนเรียนทางด้านดนตรี เนื่องจากพ่อของป้อมเห็นว่าดนตรีเป็นวิชาชีพที่ไม่มั่นคง ขณะเดียวกัน ป้อมก็ได้พบกับ อ้อม ลูกสาวของเพื่อนพ่อตน ที่ถึงแม้ด้านปฏิบัติจะไม่เอาไหน แต่ความรู้ด้านทฤษฏีดนตรีเป็นเลิศ สอบเข้าโรงเรียนเดียวกัน อ้อมเข้าใจว่า ป้อมรักดนตรีเหมือนกัน จึงสัญญาจะช่วยปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ

2. ร็อค หรือ คลาสสิค
ภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนตัวเองด้วยความรักของป้อมนะคับจะเห็นได้ว่าป้อมได้ใช้ตัวเองขับเคลื่อนตามดาวถึงอีกสองครั้งบนแผ่นหนัง
เมื่อดาวเลือกที่จะเข้าวงออร์แคสตร้าของโรงเรียน ป้อมกลับเลือกสมัครเข้าวงออร์เคสตราของโรงเรียนแทนทั้งที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศด้านด้านตีกลองชุด และทั้งที่มีดนตรีของตัวเองแล้วด้วย(ชื่อวง Ass-Ho-Le แอสโฮลี่) กับเพื่อนคือ เฉด และ ฉัตร ซึ่งทั้งสามคนได้วางแผนที่ลงประกวดการแข่งวงดนตรี ฮอทเวฟมิวสิคอวอร์ด ด้วยกัน อีกประเด็นที่โดนใจมากก็คือ มิตรภาพระหว่างเพื่อน จะเห็นว่าทั้งสองคนพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังให้ในทุกการตัดสินใจของเพื่อนและยินดีที่ให้ป้อมไล่ตามความฝันของตัวเอง (นั่นหมายถึง ดาว)

3. รักครั้งแรก หรือ เพื่อนสนิท
เนื่องจากวงออร์เคสตรา ไม่เน้นบทบาทของเครื่องดนตรีประเภทเพอร์คัชชัน ป้อมจึงต้องรออย่างเบื่อหน่าย กว่าจะถึงช่วงเล่นของตนแต่ละครั้ง ต่างกับอ้อม ที่มีความสุขกับดนตรี แม้ทั้งเพลงจะได้เล่นแค่นิดเดียว ในขณะนี่เองที่ความรู้สึกของป้อมจึงเริ่มนึกถึงความรู้สึกของตนเอง ที่เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ ราวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย อ้อมได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของป้อมมากขึ้นในฐานะของเพื่อนสนิทที่สามารถคุยเล่นได้อย่างไม่ขัดเขิน

4. ปล่อยวาง หรือ เล่นของสูง
ต่อมาเมื่อดาวเลือกที่จะสมัครเข้าชิงทุนไปเรียนต่อตามความฝันของตัวเอง และนั่นเป็นอีกครั้งที่ป้อมต้องขับเคลื่อนตามดาว แต่คราวนี้กลับมีอ้อมเป็นตัวแปรสำคัญอีกตัวที่เข้ามามีบทบาทสำคัญการตัดสินใจป้อม...

แต่ในที่สุด เมื่อบทสรุปออกมา ป้อมเลือกที่จะอยู่ที่นี่กับอ้อมและปล่อยดาวไป ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ป้อมเลือก ถูกหรือผิด การที่ป้อมเลือกอ้อม ถือเป็นการปล่อยวาง หรือ การที่ป้อมวิ่งไล่ตามดาว จะเรียกว่าเป็นการเล่นของสูง รึป่าว (ขอเปรียบเทียบนิดนึงครับ ไม่อยากเลย เหอๆๆ ตอนที่ได้ดู เพื่อนสนิท ตอนที่ใข่ย้อยตัดสินใจเลือกผู้หญิงอีกคนนึงที่ไม่ใช่ ดากานดา ผมรู้สึกแปลกใจมาก ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ผมไม่รู้เห็นรู้สึกที่ถึงความรักที่ใข่ย้อยมีให้ มันเหมือนกับเป็นแค่การเลือกคนที่เค้ารักเรา โดยไม่พยามที่จะต่อสู้อะไรเลยด้วยซ้ำ ผู้ชายคนนี้พร้อมที่จะหนีและไม่เคยคิดที่จะสู้ - แต่ใขณะที่การตัดสินใจของป้อมดูมีเหตุผลมากกว่า เพราะเนื้อเรื่องได้ปูไว้อย่างแยบคายทีเดียว จึงทำให้ไม่แปลกใจมากนักกับการตัดสินใจแบบนั้น
อีกอย่างที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ผมชอบคือ รายละเอียดเล็กๆน้อยทีมันดูแล้วน่ารักอ่ะ เช่น ตอนที่ป้อมกับอ้อมกางร่ม ไปด้วยกันกลางสายฝน จะเห็นว่า ป้อมจะเอียงร่มมาทางดาวเล็กน้อย โอ้ย น่ารักครับ หรือตอนที่ เค้าเดินด้วยกันไปบนทางเดินในโรงเรียนคุยเรื่องโน้ตดนตรีกัน หยอกเอินกันเล็กน้อย ตอนที่ป้อมล้อเลียนดาว อิอิอิ น่ารัก
ไม่มีใครรู้ว่า ต่อจากนี้ไปความรักของทั้งคู่จะเป็นอย่างไรต่อไป
จะ Happy Ending น่ารักสดใส แบบนี้ตลอดไปรึเปล่า
แต่ก็เอาเหอะ นี่มันชีวิตวัยรุ่นนะ เส้นทางของทั้งคู่ยังคงอีกยาวไกล

สรุปรวมความว่า ไม่เห็นต้องมีอะไรให้มันเลิศหรู อลังการ
และแม้จะมีคนเคยบอกว่า วันนึงภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะหายไปกับกาลเวลาก็ตาม
แต่ก็นะสั้นๆ ง่ายๆ "แค่กรูชอบก้อพอแล้วน่า"
แถมมิวสิกวีดีโอเพลง ฤดูที่แตกต่างคับ ครับ รอโหลดแปบนึงคับ
Wednesday, January 3, 2007
Hand in my pocket

Artist: Alanis Morissette
Song: Hand In My Pocket
I'm broke but I'm happy
I'm poor but I'm kind
I'm short but I'm healthy, yeah
I'm high but I'm grounded
I'm sane but I'm overwhelmed
I'm lost but I'm hopeful baby
What it all comes down to Is that everything's gonna be fine fine fine
I've got one hand in my pocket
And the other one is giving a high five
I feel drunk but I'm sober
I'm young and I'm underpaid
I'm tired but I'm working, yeah
I care but I'm worthless
I'm here but I'm really gone
I'm wrong and I'm sorry baby
What it all comes down to Is that everything's gonna be quite alright
I've got one hand in my pocket
And the other one is flicking a cigarette
What it all comes down to
Is that I haven't got it all figured out just yet
I've got one hand in my pocket
And the other one is giving the peace sign
I'm free but I'm focused I'm green but I'm wise
I'm shy but I'm friendly baby
I'm sad but I'm laughing
I'm brave but I'm chicken shit
I'm sick but I'm pretty baby
And what it all boils down to
Is that no one's really got it figured out just yet
I've got one hand in my pocket
And the other one is playing the piano
What it all comes down to my friends
Is that everything's just fine fine fine
I've got one hand in my pocket
And the other one is hailing a taxicab...
From DUSK till DAWN! ปีใหม่ วันใหม่ ชีวิตใหม่?

ปีใหม่แล้ว เย้ๆๆๆ
หวังว่าปีนี้คงจะเป็นปีแห่งการเริ่มต้นอีกครั้งนึง
ทุกครั้งที่เริ่มต้นปี ผมมักภาวนาถึงแต่สิ่งที่ดี
หวังว่าแต่ละปีจะเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิต
ปีนี้ก็คงเหมือนกัน เราต้องมีศรัทธาในวันข้างหน้าใช่ไหมคับ
อย่างไรก็ตามปีนี้ผมขอให้ทุกคนที่ผมรักและรักผม มีความสุขมากๆนะครับ
มีชีวิตที่รื่นเริงสดใสและสวยงามเสมอ
และทุกครั้งที่ถึงปีใหม่มีบทกลอนบทนึงที่ผมชอบมากเลย
มอบให้ทุกคนครับ
สั่นระฆังให้กังวาล สั่นให้สิ่งต่างๆที่ไม่ดีทิ้งไป
สั่นรับสิ่งใหม่ๆ ที่ดีงามเข้ามาในชีวิตเราครับ
สิ่งเก่าๆต่างๆ ทิ้งมันไปครับ
มาเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่า
สู้ๆๆๆๆ Happy New Year 2007
Ring Out, Wild Bells
Ring out, wild bells, to the wild sky,
The flying cloud, the frosty light;
The year is dying in the night;
Ring out, wild bells, and let him die.
Ring out the old, ring in the new,
Ring, happy bells, across the snow:
The year is going, let him go;
Ring out the false, ring in the true.
Ring out the grief that saps the mind,
For those that here we see no more,
Ring out the feud of rich and poor,
Ring in redress to all mankind.
Ring out a slowly dying cause,
And ancient forms of party strife;
Ring in the nobler modes of life,
With sweeter manners, purer laws.
Ring out the want, the care the sin,
The faithless coldness of the times;
Ring out, ring out my mournful rhymes,
But ring the fuller minstrel in.
Ring out false pride in place and blood,
The civic slander and the spite;
Ring in the love of truth and right,
Ring in the common love of good.
Ring out old shapes of foul disease,
Ring out the narrowing lust of gold;
Ring out the thousand wars of old,
Ring in the thousand years of peace.
Ring in the valiant man and free,
The larger heart, the kindlier hand;
Ring out the darkenss of the land,
Ring in the Christ that is to be.
-- Alfred, Lord Tennyson
Subscribe to:
Posts (Atom)